WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, November 15, 2011

น้ำตาผู้หญิง น้ำตาผู้ชาย… : ใครว่าผู้หญิงอยากใช้น้ำตาเป็นอาวุธ?

ที่มา ประชาไท

“น้ำตา” มักถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมืองบ่อยๆ ถ้าคุณอ่านสามก๊กคุณจะพบว่าแม่ทัพนายกองทั้งหลาย ‘ร้องไห้’กันเกือบทั้งเรื่อง อะไรนิดอะไรหน่อยก็ร้อง จะซาบซึ้งจะอะไรกันหนักหนา ทั้งๆที่เป็นชายชาตินักรบกันแท้ๆ เมื่อชีวิตมีคำถามเช่นนี้ ผมก็เลยส่งโทรจิตกลับไปถาม “อีพริ้ง” เมียของผมเมื่อชาติภพที่แล้ว เธอตอบกลับมาหาผมอย่างรวดเร็วราวกับใช้ hi-speed internet ว่า “อย่าโง่นักเลยไอ้แก่ การร้องไห้มันมีประโยชน์นะเว้ย เพราะมันเป็นต้นทุนที่ถูกที่สุดในทางการเมือง ไม่ต้องเสียตังค์สักบาท แถมถ้าร้องบ่อยๆ แล้วคนเชื่อว่ามีเมตตาธรรมแบบเล่าปี่ ก็ซื้อใจคนทั้งแผ่นดินได้”

อ่านข้อความของอีพริ้งจบ ผมก็กระจ่างราวกับตื่นจากภวังค์ เพราะถ้าคุณเป็นแฟนพันธุ์แท้สามก๊กจริง คุณก็จะรู้ว่าจริงๆแล้ว ‘เล่าปี่’ เป็นผู้นำก๊กที่จนที่สุด เมื่อเทียบกับ ‘โจโฉ’ และ ‘ซุนกวน’ เพราะโจโฉจะชั่วดีอย่างไรเสียก็เป็นทหาร มีอำนาจวาสนาพอสมควร ซุนกวนเล่าก็เป็นลูกเจ้าเมืองเก่าสืบต่อสมบัติพี่ชายและบิดา ในขณะที่เล่าปี่เป็นแค่คนทอเสื่อขาย แต่ความอ่อนโยนและน้ำตาของเล่าปี่นี่เอง ทำให้ได้ ’ใจ’ ของประชาชน และแม่ทัพนายกองมากมายที่พร้อมพลีกายถวายหัวชนิดที่ว่าแทบไม่คิดถึงชีวิตตัว เอง

กลับมาที่การเมืองไทย เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเราลงพื้นที่ไปตรวจความเรียบ ร้อยในการฟื้นฟู จ.นครสวรรค์ หลังน้ำลด ในขณะที่กำลังปราศรัยทักทายพ่อแม่พี่น้องอยู่ดีๆ เธอก็กล้ำกลืนร้องไห้น้ำตาไหลออกมา ชนิดที่เรียกได้ว่า ‘อึ้งกิมกี่’ กันไปหมด ทั้งรัฐมนตรี ทั้งประชาชน จนสื่อมวลชนต้องเอามาทำข่าว ในโลกไซเบอร์อินเตอร์เน็ตก็แชร์กันให้ว่อน ทั้งชมทั้งด่า มีตั้งแต่ “เห็นใจนายกฯจังเลยนะคะ” จนไปถึงขั้นที่ว่า “ดัดจริต”

แต่ที่เด็ดดวงกว่านั้น คือ การที่ ส.ส.ของ ปชป. สามคน อันได้แก่ ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู, มัลลิกา บุญมีตระกูล และ คุณหญิงกัลยา โสภณพานิชย์ พร้อมหน้ากันออกมาอัดนายกฯ รวมใจความสั้นๆ ได้ว่า “อ่อนแอ”, “ขี้แย”,“มารยาหญิง”, “ไร้ภาวะผู้นำ” อัดกันแรงมากจน ส.ส.ชาย ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ เพราะคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงด้วยกันจะอัดกันแรงซะขนาดนี้ แถมประเด็นที่เล่นก็ไม่ใช่ประเด็นการทำงานซะด้วย แต่เป็นเรื่องหยุมหยิมสุดๆ เช่น เรื่องน้ำตา

ผมกลับมานั่งคิดว่า จริงๆแล้วปัญหาที่ทำให้คุณยิ่งลักษณ์ “โดนด่า” นี่คืออะไร?

มันไม่ใช่ความซวยของคุณยิ่งลักษณ์ที่ดันเกิดมาเป็นน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเท่านั้น แต่มันเป็นปัญหาสากลของโลก ที่ผู้หญิงมักจะโดนด่าเช่นนี้เป็นประจำ นั่นเป็นเพราะสังคมให้คุณค่า (value) กับการกระทำของผู้หญิง และผู้ชายแตกต่างกัน สังคมมองบุรุษเพศว่าเป็นเพศที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว มีภาวะผู้นำ ห้าวหาญ เหนือกว่าผู้หญิงทุกๆด้าน ดัง นั้นการร้องไห้ของบุรุษเพศ จึงถูกบรรยายออกมาในทำนองว่า “น้ำตาลูกผู้ชาย”, “น้ำตาสุภาพบุรุษ”, “น้ำตานักสู้” ในขณะที่น้ำตาของผู้หญิงกลับถูกมองว่าเป็นเรื่องของ “ความอ่อนแอ”, “ไร้ภาวะผู้นำ”, “มารยาหญิง” บ้างก็ไปถึงขั้นว่า “หวังจะใช้น้ำตาเป็นอาวุธละสิ!”

เพื่อยืนยันว่าทฤษฎีนี้ถูกต้อง ผมจำได้ว่าก่อนหน้าที่คุณยิ่งลักษณ์จะร้องสักสองอาทิตย์ คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี ก็เคยกอดคอร้องไห้กับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นมาแล้วเนื่องจากไม่สามารถปกป้องนิคม อุตสาหกรรมโรจนะเอาไว้ได้ ครั้งกระนั้นก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร ไม่เห็นมี ส.ส.หญิง ส.ส.ชายหน้าไหนออกมาโวยวาย เท่ากับกรณีของคุณยิ่งลักษณ์ คุณว่ามันแปลกไหมละ?

ให้สรุปสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ “น้ำตาของผู้ชาย” มันอาจจะใช้เป็นอาวุธทางการเมืองได้ไม่ยากนัก แต่สำหรับผู้หญิงแล้ว “น้ำตา” นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้ได้แต้มต่อในทางการเมือง ยังกลับเป็นตัวทำลายภาพลักษณ์ “ความเป็นผู้นำ” ของตัวผู้หญิงเองด้วยซ้ำไป ดังนั้นใครที่คิดว่าผู้หญิงอยากจะร้องเพื่อเรียกคะแนนทางการเมือง อาจจะต้องกลับไปคิดใหม่อีกหลายๆรอบ เพราะขืนใช้วิธีนี้ จะมีแต่เสียกับเสีย

ที่ผมกล้าพูดเช่นนี้ เพราะหลายปีก่อน ‘อีพริ้ง’ เคยตั้งข้อสังเกตกับผมว่า สิ่งที่เรียกกันว่า “ความเป็นผู้นำ” มักจะถูกเชื่อมโยงกับ “บุคลิกความเป็นชาย” แทบจะทั้งหมด เช่น แข็งกร้าว, เด็ดเดี่ยว, ใจแข็ง, มีบุคลิกความเป็นผู้นำ, พูดจาฉะฉาน, กล้าตัดสินใจ ฯลฯ ทั้งหมดนี่เป็นเพื่อจะกีดกันผู้หญิง (ซึ่งแน่นอนว่ามีลักษณะตรงข้าม) ให้ออกไปจากการเมือง ส่วนผู้หญิงบางคนที่แทรกตัวเข้ามาในการเมืองได้ และประสบความสำเร็จ ก็จำต้องทิ้งบทบาทความเป็นผู้หญิงเสีย แล้วสวมบทบาทข้างต้นแบบผู้ชาย

เมื่อไปมองดูผู้นำหญิงทั้งในประวัติศาสตร์และในปัจจุบันที่มีชื่อติดอยู่ ในสมอง ได้แก่ ‘บูเช็คเทียน, ซูสีไทเฮา, มากาแร๊ต แทชเชอร์, อองซาน ซูจี, กอเรีย อาโร, ฮิลลารี่ คลินตัน ก็เป็นจริงดั่งที่ ‘อีพริ้ง’ ได้พูดไว้ นั่นคือ เธอเหล่านี้แทบจะไม่เหลือบุคลิกผู้หญิงเอาไว้เลย นอกจากเสื้อผ้าหน้าผม เพราะเธอสวมบทผู้นำเด็ดเดี่ยว ซะจนผู้ชายต้องเดินตามหลังต้อยๆ

สุดท้ายคิดไปคิดมาก็น่าเสียดายมาก ที่ ส.ส.หญิง แห่งค่าย ‘ประชาธิปัตย์’ ทั้ง 3 ท่านนั้น ไม่มีใครเห็นประเด็นเหล่านี้ แต่กลับดับเครื่องชนเดินหน้าออกมาผลิตซ้ำ ’วาทกรรม’ ที่ลดทอน/ทำลายพื้นที่ทางการเมืองของผู้หญิงด้วยกัน เพียงเพราะมุ่งหวังแต้มต่อทางการเมืองเล็กๆ น้อยๆ ในขณะที่ ส.ส.ผู้ชายทั้งหลายก็ ‘นกรู้’ เลือกที่จะนิ่งเฉย เงียบ ไม่ตอบโต้อะไรในเรื่องนี้ รอดูผู้หญิงทะเลาะกันเองจะดีกว่า เพราะ ในโลกนี้คนที่จะกดขี่ หรือเอาเรื่อง “ความเป็นหญิง” มาด่าผู้หญิงได้เจ็บแสบที่สุด คงไม่ใช่ผู้ชายหน้าไหน แต่เป็นผู้หญิงด้วยกันเองนี่แหละ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ดี มีการศึกษาสูง…