ว่าจะเลิกคุยถึงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้วเชียวนา แต่พอข่าวออกว่าท่านผู้บัญชาการทหารบก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ปฏิเสธว่ากองทัพบกไม่ได้เสนอชื่อ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ มาดำรงตำแหน่งนี้ และขอไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีที่ พลเอกสมทัต อัตตะนันทน์ อดีตผู้บัญชาการทหารบกอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวเลือกใหม่ ก็เลยต้องเปลี่ยนความคิดที่จะนั่งเงียบ
เพราะเบื้องหลังเรื่องนี้มันแสบสันต์นัก ไม่รู้ไม่ได้
ชื่อของพลเอกประวิตรไม่ได้ลอยมาตามน้ำเหมือนผักตบชวาหรอกครับ เขานำใส่เรือหรูหราฝ่าทวนน้ำมาส่งมอบให้เลยทีเดียว
เพราะเป็นชื่อที่ลงตัวมากที่สุดสำหรับผู้ก่อการยึดอำนาจรัฐเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ในความเป็นคนในเครื่องแบบที่รู้จักนักการเมือง นักเลง นักธุรกิจ และผู้ที่เป็นใหญ่เหนือนักทั้งหลายเหล่านี้
การเสนอชื่อพลเอกประวิตรจะโดยใครก็ตาม จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกแหวกแนว และถ้ามองในระยะยาวแล้ว อาจเป็นวิธีหนึ่งที่จะอยู่ “ร่วมกัน” ระหว่างอำนาจเดิมกับอำนาจใหม่ที่เขาพยายามจะเรียกว่า “อำนาจเก่า” ได้
เพราะเบื้องหลังเรื่องนี้มันแสบสันต์นัก ไม่รู้ไม่ได้
ชื่อของพลเอกประวิตรไม่ได้ลอยมาตามน้ำเหมือนผักตบชวาหรอกครับ เขานำใส่เรือหรูหราฝ่าทวนน้ำมาส่งมอบให้เลยทีเดียว
เพราะเป็นชื่อที่ลงตัวมากที่สุดสำหรับผู้ก่อการยึดอำนาจรัฐเมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ในความเป็นคนในเครื่องแบบที่รู้จักนักการเมือง นักเลง นักธุรกิจ และผู้ที่เป็นใหญ่เหนือนักทั้งหลายเหล่านี้
การเสนอชื่อพลเอกประวิตรจะโดยใครก็ตาม จึงไม่ใช่เรื่องที่แปลกแหวกแนว และถ้ามองในระยะยาวแล้ว อาจเป็นวิธีหนึ่งที่จะอยู่ “ร่วมกัน” ระหว่างอำนาจเดิมกับอำนาจใหม่ที่เขาพยายามจะเรียกว่า “อำนาจเก่า” ได้
แต่นั่นคือประเด็นที่เราเคยพูดกันมาแล้วหลายครั้ง ประเด็นใหม่สำหรับวันนี้คือ ชื่อของพลเอกประวิตรเข้ามาอยู่ในลู่วิ่งนี้ได้อย่างไร? ใครเป็นผู้ประสานงานตั้งแต่ต้นจนบัดนี้? และทำเช่นนั้นไปเพื่อประโยชน์ของใคร? เรื่องนี้ต้องเล่ากันแบบใส่รหัส เพราะตัวละครมีมากมายหลายตัว ถ้าเอ่ยชื่อออกมาตรงๆ ก็เห็นจะแตกหักกันเสียก่อนที่จะเล่าจบ ทุกอย่างเริ่มต้นที่คนคนหนึ่งซึ่งเห็นใครในวงการเขาเรียกกันว่าเจ๊ จะเพราะอะไรก็ไม่รู้ได้ จู่ๆเจ๊ก็นัดหมายเข้าไปพบนายทหารใหญ่ นายทหารใหญ่คนที่กำลังเป็นตัวแปรสำคัญว่าบ้านเมืองจะคงความเป็นเผด็จการหรือจะเป็นประชาธิปไตยนั่นแหละครับ ไปถึงแล้วเสนอตัวว่า กองทัพอยากได้ใครเป็นผู้ประสานงานกับฝ่ายทหารในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ขอให้บอกตน หลังจากใช้ศิลปะกระซิกกระซี้อันเป็นความชำนาญเฉพาะบุคคลแล้ว นายทหารผู้นั้นก็ใจอ่อนยอมเอ่ยชื่อคนที่ตนคิดว่าน่าจะเหมาะสมขึ้นมา ชื่อนั้นคือพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เมื่อได้ชื่อแล้ว เธอผู้นั้นก็ประสานต่อไปยังบุคคลที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งก็ราวกับนำระเบิดลูกใหญ่ไปทิ้งให้ถอดสลัก เพราะทำให้หนักอกหนักใจเต็มที บุคคลผู้นั้นรู้ทันทีว่าพลเอกประวิตรเป็นตัวแทนของใครและของอะไร ระหว่างรอการตัดสินใจนั่นเอง เรื่องก็พลันเข้มข้นขึ้น เมื่อเธอก็เดินเรื่องต่อไปยังบุคคลที่แสนสำคัญอีกคนหนึ่ง ซึ่งเชื่อมต่อกับบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยอดยิ่งได้
แล้วรายงานอย่างภาคภูมิใจว่า บัดนี้เธอได้เดินเรื่องไปถึงขนาดนี้ให้แล้ว ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าบุคคลผู้นั้นจะพอใจอย่างลึกซึ้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมานั้นกลับตาลปัตร เมื่อบุคคลสำคัญผู้นั้นรู้ข่าว ก็เรียกตัวนายทหารใหญ่ผู้นั้นมาพบในทันที จะพูดจาอย่างไรไม่มีใครรู้ได้ แต่นายทหารใหญ่กลับออกมาในกิริยาอาการของคนที่หงุดหงิดเต็มที เล่นงานใครต่อใครรอบตัววุ่นวายไปหมด แต่ที่สำคัญคือออกคำสั่งด้วยวาจาว่า ห้าม “เจ๊” คนนี้เข้ามาพบอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ไหนก็ตาม ชะรอยว่าสิ่งที่เธอได้ลงมือกระทำลงไป โดยจุดประสงค์ที่อ่านได้ชัดอย่างไม่ต้องแปลความก็คือ ต้องการจะสร้างบทบาทผู้ประสานงานอันเยี่ยมยอด เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองอันยิ่งใหญ่ของตนเอง แต่ในเวลาเพียงไม่กี่วัน เขากลับตรวจสอบกันและรู้เท่าทันหมด รู้ว่าเป็นการแอบอ้างบุคคลสำคัญผู้นั้นโดยแท้ แล้วสะพานก็ขาดผึงลงอย่างฉับพลัน นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน คนที่อันตรายพอๆกับเผด็จการ ก็คือคนที่ชอบทำตัวเป็นนายหน้าให้เผด็จการแล้วมาแสร้งทำหน้าเป็นประชาธิปไตยนั่นแหละครับ.
คอลัมน์ เลือกคบไม่เลือกข้าง จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ วันสุข
ปีที่ 9 ฉบับที่ 2210 ประจำวัน ศุกร์ที่ 25 มกราคม 2008