ความล้มเหลวของ คมช. มิได้ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดการรัฐประหารอีกครั้งลดลงไป และย้ำด้วยว่าคนที่สั่งการให้รัฐประหารล้มระบอบประชาธิปไตยอาจจะไม่ใช่คนกลุ่มนี้ การสิ้นยุค คมช. จึงไม่ใช่การสิ้นสุดของระบอบทหารนอกแถวอย่างแน่นอน
ถ้าผมเป็น พลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข รักษาการประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือ คมช. ผมจะแถลงการสิ้นสภาพของ คมช. ด้วยตนเอง แทนที่จะให้คนระดับ พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่เป็นเพียงโฆษกออกมาแถลง
ก็ตอนที่แถลงเปิดตัวคณะที่กรีธาทัพเข้ายึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เห็นนั่งกันสลอนไปตั้งแต่ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเลขาธิการ คมช. มั่นใจเต็มที่ว่ากำลังทำงานเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองมิใช่หรือ
ทำไมตอนจากถึงได้ทำเงียบๆหงิมๆเหมือนไม่อยากให้ใครเห็น
อย่าลืมนะครับ การยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเป็นอนันตริยกรรมหรือกรรมอันแสนหนักในทางการเมือง ทำแล้วก็เท่ากับได้สร้างกรรมอันใหญ่หลวงไว้ในประวัติของชาติบ้านเมือง จะเป็นเกียรติประวัติหรือเกลียดประวัติก็แล้วแต่บุญแต่กรรมของคนมอง
จู่ๆบอกว่าขอโยนผ้ายอมแพ้ หรือขอเดินออกจากปมปัญหาที่ตัวเองเป็นคนสร้างไว้ โดยไม่สื่อสารกับสังคมอย่างสมควรนั้นไม่ใช่เรื่องที่มีวุฒิภาวะนัก
ถามว่าแล้วที่สมควรนั้นคืออย่างไร
ทางเลือกก็มี ๒ ทางเท่านั้น ทางแรกคือยืนยันว่าการยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ด้วยการแสดงหลักฐานว่ายึดอำนาจมาจนบัดนี้แล้วประเทศไทยและคนไทยดีขึ้นในทุกทาง
ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมก็นึกภาพไม่ออกว่าเขาจะแสดงกันได้อย่างไร
ทางที่สองคือยอมรับว่าการรัฐประหารประสบความล้มเหลว ล้มเหลวมาตั้งแต่ความคิดที่จะกระทำรัฐประหาร เรื่อยมาจนถึงการฉีกรัฐธรรมนูญของประชาชนและสร้างระบบการเมืองพิกลพิการเอาไว้แทนที่ ตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่ไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารประเทศ และทำลายเครดิตของประเทศไทยในภาพรวม
ถึงไม่กล้าหาญพอที่จะยอมรับและพูดถึงขนาดนี้ อย่างน้อยก็ควรจะยืนยันกับพี่น้องร่วมชาติว่าการรัฐประหารไม่ใช่ทางแก้ไขปัญหาใดๆ และเป็นการผูกปมปัญหาใหม่ไว้ในบ้านเมือง เพื่อจะได้ไม่ต้องผ่านความทุรกรรมทุรเวรเช่นนี้อีก
ผมเข้าใจเอาเองว่าความผลุนผลันเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าของผู้ก่อการรัฐประหารคณะนี้ น่าจะมาจากความตระหนักว่าตนไม่ใช่ต้นคิดของการรัฐประหาร
แต่เป็นเพียงผู้กระทำตามคำสั่งของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ตัวเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความถูกต้องของบ้านเมืองเท่านั้น
ซึ่งก็ยิ่งทำให้ปัญหารุนแรงหนักขึ้น
เพราะเท่ากับว่า ความล้มเหลวของ คมช. มิได้ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดการรัฐประหารอีกครั้งลดลงไป และย้ำด้วยว่าคนที่สั่งการให้รัฐประหารล้มระบอบประชาธิปไตยอาจจะไม่ใช่คนกลุ่มนี้
การแถลงข่าวแบบซ่อนรูป หรือ low-key อย่างที่คุณสรรเสริญทำ อาจเป็นวิธีสื่อสารในสิ่งที่คน คมช. พูดตรงๆไม่ได้ นั่นคือไม่ได้ภูมิใจในตนเอง แต่ก็ไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นผู้แบกรับภาระจากการตัดสินใจที่ล้มเหลวคราวนี้ทั้งหมด
หมดหน้าที่ของ "นายหน้า" แล้วก็แล้วกัน อาจจะคิดเพียงเท่านั้น
ต่อไป "เจ้าของ" เขาก็คงว่าเองต่อไป จะเรียกตัวกลับมาใช้งานอีกหรือจะสร้างมือปืนซุ้มใหม่ก็แล้วแต่เขา
ฝ่ายที่รักและต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่าเพิ่งได้ลิงโลดใจจนเกินไป เพราะการสิ้นสุดยุค คมช. อาจมีความหมายเพียงเท่านี้ก็ได้
สิ่งที่จะเป็นผลกระทบสำคัญก็คือ การสิ้นสุดของคณะนี้ เท่ากับว่าจะต้องเกิดคณะใหม่ขึ้นมาแทนที่ อาจประกอบด้วยบุคคลที่เห็นหน้ากันอยู่อย่างพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา พลโทประยุทธ์ จันทร์โอชา พลตรีไพบูลย์ คุ้มฉายา พลตรีวิลาศ อรุณศรี พันเอกทรงวิทย์ อิศรภักดี ฯลฯ ไปจนถึงรุ่น ๒๔ อย่าง "คุณยอง" หรือคนอีกเป็นจำนวนมากที่เราไม่เคยเห็นหน้า รวมทั้งพวกที่เห็นหน้าแต่ไม่รู้ใจ
การสิ้นยุค คมช. จึงไม่ใช่การสิ้นสุดของระบอบทหารนอกแถวอย่างแน่นอน
การต่อสู้ในเชิงโครงสร้างยังอีกยาวไกลครับ.--จบ-
/////////////////////////////////////////
คอลัมน์: เลือกคบ ไม่เลือกข้าง...จากหนังสือพิมพ์โลกวันนี้
จาก hi-thaksin