ไม่มีพลิกโผ นาย ยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 25 ด้วยคะแนน 307 เสียง นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ขุนค้อนเป็นรองประธานฯ คนที่ 1 พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี เป็นรองประธานฯ คน ที่ 2 หลังจากที่พรรคร่วมขอบายปล่อยให้พรรค “พลังประชาชน” ซิวไว้หมด
มีประชาธิปัตย์เสนอชื่อ บัญญัติ บรรทัด ฐาน ลงแข่ง (ได้ 167 เสียงจาก 164 เสียงของ ปชป. เพิ่มมา 3 แสดงว่าพรรครัฐบาลโหวตให้ ก็ต้องไปเช็กใครแหกโผ) บางเสียงว่าเพื่อให้เกิดการเปรียบเทียบว่าใครเหนือกว่ากัน ซึ่งก็ไม่แปลก เป็นหน้าที่ของพรรคฝ่ายค้านที่จะเสนอทางเลือกอีกทางหนึ่ง เป็นความงดงามของระบอบ ประชาธิปไตยล่ะ
ไม่เหมือนเผด็จการที่ชี้เอาได้ !!!
อีกภาพที่ต้องชมคือการที่ เฉลิม อยู่บำรุง เดินไปไหว้รุ่นพี่ ชวน หลีกภัย ซึ่งชวนก็รับไหว้และแสดงความยินดีที่เฉลิมได้เป็น ส.ส. ขณะที่ ยงยุทธ ที่นั่งติดกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ส่งยิ้มพูดคุยกัน ภาพอย่างนี้ทำให้ประชาชนสบายใจไม่มากก็น้อยหลังจากเครียดมานานแล้ว เป็นอย่างนี้ได้ตลอดก็ดีสิ
หน้าที่ต่างกัน ความสัมพันธ์คงเดิม
หากถือว่าตำแหน่งประธานสภาเป็นด่านแรกในการทดสอบความเป็นเอกภาพของรัฐบาลผสม 6 พรรค ก็ถือว่าสอบผ่าน เพราะฉะนั้นถึงจะมีการลองของบ้าง แต่เชื่อว่า 25 มกราคม โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีก็ยังเป็นนาย สมัคร สุนทรเวช อยู่ดี
แต่นั่นแหละ นายยงยุทธ จะเป็น “ท่านประธานฯ ที่เคารพ” หรือ ท่านประธานฯ ที่ไม่น่าเคารพ ก็อยู่ที่ตัวเอง ถึงนายยงยุทธจะเป็น ยุทธ ตู้เย็น มีภาพสีเทา เป็นเด็กในคาถานายใหญ่ นายหญิง ประเภทแทบจะตายแทน กันได้ เป็นที่หมั่นไส้และเกลียดชังของคนไม่น้อย ก็เป็นอย่างที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ไว้
ขอเวลาพิสูจน์ผลงานว่าจะเป็นที่ยอมรับของ ส.ส.หรือไม่ นับแต่นี้รำไม่ดีจึงไม่ต้องโทษปี่โทษกลองแล้ว
ส่วนคดีความของนายยงยุทธที่ยังค้าง อยู่ที่ กกต. กรณีถูกคณะอนุ กก. จากสันติบาลใช้วีซีดี 8-9 แผ่น กล่าวหาทุจริตเลือกตั้งที่เชียงรายจะกลายเป็น “เงื่อนตาย” หรือไม่นั้น ไม่ใช่หน้าที่ของ สนช. ที่ไปล่ารายชื่อถล่มเลย ดีที่ สนช. หลายคนไม่เอาด้วย เลยแท้งไป
ไม่ใช่ “ยงยุทธ” บริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคีคาวแต่ประการใด แต่อย่างที่ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน สนช. บอก เมื่อ กกต. ประกาศรับรองผลแล้วก็ไปทำอะไรไม่ได้และไม่มีอะไรห้าม ถ้ามีการสอยภายหลังการดำรงตำแหน่งก็จบ
ที่จะให้เคลียร์ปัญหาให้จบก่อนนั้น นายมีชัยกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ข้อกฎหมาย จึงเอามาใช้ไม่ได้ ส่วนจะสง่างามหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่คนคิดกันเอง กกต. จะคิดอย่างไรไม่มีใครรู้ ถ้ากกต. รับรองผลโดยที่รู้ว่ายังมีอะไร
ความผิดจะตกอยู่ที่ กกต. เอง ???
ขณะที่กรณีคุณสมบัติประธานสภาต้องประคองไม่ให้มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายนั้น นาย มีชัย บอกว่า เห็นว่าคุณสมบัติเดียวที่ต้องมีคือสมาชิกส่วนใหญ่เลือก เมื่อเลือกแล้วจะไปว่าอะไรไม่ได้ การทำงานในสภาที่มองว่าจะมีการแบ่งขั้วรุนแรงนั้นยังพูดอะไรไม่ได้ ต้องดูต่อไป
ก็ถือว่าชัดเจน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเรื่องงานสภาและข้อกฎหมายแล้ว
ไม่เหมือน สนช. ฝ่ายแค้นหน้าเก่า ๆ ที่เสนอให้นายยงยุทธตั้งนอมินีไปก่อน เคลียร์ปัญหาเสร็จค่อยกลับมาใหม่ บอกตรง ๆ ไม่รู้ ใช้ส่วนไหนของร่างกายคิด ก็เห็นรังเกียจนอมินีจะเป็นจะตาย ยื่นตีความจะให้ยุบพรรคภาค 2 ภาค 3 อีก แต่ถึงคราวจนแต้มก็ยัดเยียดให้มี “นอมินี” อีก
อย่างนี้ที่เรียกมีคุณธรรม หรือพวกมือถือสากปากถือศีล พวกนี้แหละที่ยังป่วนไม่เลิกจนบัดนี้น่ะ ?!?.