การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จากเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ จนมาถึงบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ด้านข้างทำเนียบรัฐบาล แม้ว่าจะล่วงเลยมาถึง 29 วันแล้ว แต่การชุมนุมก็ยังไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆ ในทางการเมืองได้ มีแต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และความเดือดร้อนของประชาชนที่ขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น
รวมไปถึงการเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้พันธมิตรฯ ยุติบทบาทการชุมนุมข้างถนน อันเนื่องมาจากปัญหาข้อกังวลสงสัยต่างๆ ในรัฐบาล ได้ถูกนำเข้ากระบวนการตรวจสอบตามวิถีทางประชาธิปไตยแล้ว
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส. สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ในฐานะคณะทำงานติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ แถลงว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคประชาธิปัตย์ วันที่ 24 มิถุนายน เชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะไม่เคลื่อนขบวนมาปิดล้อมรัฐสภา แต่เชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรฯ จะเคลื่อนพลมาปิดล้อมรัฐสภา ในวันที่มีการอภิปรายงบประมาณปี 2552 อย่างแน่นอน โดยเป้าหมายคือ ต้องการไม่ให้รัฐบาลตั้งงบประมาณเพื่อบริหารประเทศได้
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้จริง ถามว่ารัฐบาลจะปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น เหมือนเมื่อครั้งพันธมิตรฯ บุกมาทำเนียบหรือไม่ เพราะครั้งนั้นรัฐบาลภายใต้การนำของ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ไม่อยากให้เกิดความรุนแรง
นายจตุพร กล่าวว่า ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นจริง ก็เท่ากับเป็นการขัดขวางการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะข้อเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯ มันเลยเถิดไปถึงขั้นสร้างการเมืองใหม่ คือ พันธมิตรฯจะขอมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศนี้เอง จะไม่ยึดเอาระบบรัฐสภา ตามระบอบประชาธิปไตยอีกต่อไป
*ซัดม็อบจ่อสถาปนาการเมืองใหม่
เงื่อนไขของพันธมิตรฯ ตอนนี้พ้นเรื่องนายสมัครจะอยู่หรือไม่ไปแล้ว วันนี้พันธมิตรฯต้องการที่จะล้างการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และสถาปนาการเมืองใหม่ขึ้นมา ตนอยากจะบอกว่า กลียุคที่พันธมิตรฯชอบพูดนั้น กำลังจะเกิดขึ้นมาจริงๆแล้ว เพราะการเมืองใหม่ตามที่พันธมิตรฯต้องการ ไม่ได้อยู่ในระบอบประชาธิปไตย ข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯนั้น เกินเลยระบอบประชาธิปไตยไปแล้ว
นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ตนต้องขอความเป็นธรรม เพราะมีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายวัชระ เพชรทอง อดีตผู้สมัคร ส.ส.สอบตกตลอดชีวิต ได้ขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยใช้วิธีการสามานมาก ด้วยการประกาศเบอร์โทรศัพท์ของตนในที่ชุมนุม แล้วเว็ปไซต์ผู้จัดการก็เอามาลงต่อ ที่ผ่านมาตนยอมมาตลอด เพราะไม่อยากมีปัญหากับสื่อมวลชน นักการเมืองมีสิทธิ์ที่จะวิจารณ์ได้ แต่ต้องอยู่ในความพอดี ตนเองในฐานะพรรคพลังประชาชน หรือในนาม นปก.ในอดีต ไม่เคยใช้วิธีการอย่างนี้ ที่ประกาศเบอร์โทรศัพท์ในที่ชุมนุม แล้วให้ผู้ชุมนุมได้โทร.มาด่าทอ เมื่อคืนนี้จนถึงวันนี้ มีโทรศัพท์มาด่าทอจนไม่ได้หลับได้นอน
*ฉะสู้กันซึ่งหน้า-อย่าลามลูกสาว
“ แต่ว่ามีที่เลยเถิดก็คือว่า ได้มีการข่มขู่เล่นงานลูกสาวของผม ที่ยังเป็นเด็กกำลังเรียนหนังสืออยู่ เตือนให้ระวังลูกสาวว่าจะเกิดอันตราย ผมมีเบอร์โทรศัพท์หมดแล้ว จะไปร้องต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะถือว่าคุกคาม และไม่ได้ใช้วิธีของคนที่ผมเรียกว่าหน้าตัวผู้เขาทำกัน คือถ้าไม่ชอบผมก็ต่อสู้ใช้วิธีการวิจารณ์มา ผมก็วิจารณ์ไป เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และวิธีการอย่างนี้ก็ไม่ใช่รายแรก นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ก็เคยใช้วิธีการเดียวกันนี้ กับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แล้วให้สมาชิกพันธมิตรฯ โทร.ไปต่อว่า”
นายจตุพร กล่าวว่า ที่ผ่านมาการต่อสู้ของตนนั้น จำกัดวงต่อสู้กับใครก็ตามจะไม่เอาครอบครัวเขามาเกี่ยวข้อง ไม่ให้ได้รับการเดือดร้อน มีอะไรมาทำที่ตน อย่าไปยุ่งกับลูกสาว ที่ยังเรียนหนังสือชั้นประถม กลุ่มพันธมิตรฯ ตนรู้จักทุกคน ยกเว้น นายสนธิ ลิ้มทองกุล รู้จักเบอร์โทร.ที่อยู่หมด แต่ตนไม่เคยบอกกับกลุ่ม นปก. ว่าจะต้องไปทำอย่างที่พันธมิตรฯ กำลังทำกับตนอยู่ในขณะนี้ แต่วิธีการอย่างนี้ต้องดำเนินคดี ขอร้องว่าอย่ามาข่มขู่ถึงลูกสาวครอบครัวตนเลย จะทำอะไรก็มาทำที่ตน
*กังขา “ปชป.-พันธมิตร” ใครนอมินี?
ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการอภิปรายของฝ่ายค้านจะต้องมีความแตกต่างและลึกกว่าของพันธมิตรฯ เพราะหากเป็นข้อมูลชุดเดียวกันจะปฏิเสธความเกี่ยวพันกันได้อย่างไร ความจริงแล้วพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์ต่างหากที่เป็นนอมินีของกันและกัน ถึงขนาดมีอีกชื่อว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปัตย์ ในขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ก็มีอีกสถานะหนึ่งคือ พันธมิตรฯ เงา ซึ่งไม่แน่ใจว่าระหว่างนายอภิสิทธิ์กับแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ใครจะมีสถานะนำ
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนขอนำภาพมาเตือนความจำนายอภิสิทธิ์เพื่อจะได้แสดงบทบาทในฐานะฝ่ายค้านได้อย่างชัดเจนและสง่างาม ซึ่งเป็นภาพที่นายอภิสิทธิ์นำดอกไม้เข้าเยี่ยมคารวะนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯที่บ้านพระอาทิตย์ ในโอกาสพิเศษอย่างหนึ่ง ที่พรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมงานกันอย่างเป็นทางการ
*โชว์ภาพสวีตหวาน “สนธิ-อภิสิทธิ์”
อีกภาพหนึ่งที่นายสนธิตบไหล่นายอภิสิทธิ์ ในขณะที่นายอภิสิทธิ์มีหน้าตาเหมือนพร้อมรับโอวาทจากผู้ใหญ่ และเป็นที่น่าสังเกตว่านายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์มีส่วนร่วมและบทบาทในการอภิปรายครั้งนี้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่ามีข้อมูลสำคัญที่จะน็อกรัฐบาลคาสภา และสามารถเปลี่ยนหัวใจแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลให้เปลี่ยนขั้วย้ายข้างได้
หากมั่นใจขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ที่จอมพลอย่างนายชวนจะมีส่วนร่วมน้อยขนาดนี้ แสดงว่าฝ่ายค้านไม่ได้มั่นใจและตั้งใจในการอภิปรายครั้งนี้ แต่พอรัฐบาลให้อภิปรายจึงต้องเก็บนายชวนเอาไว้ เพื่อรักษากองทัพ หากนายอภิสิทธิ์ อภิปรายแป้ก ก็ยังมีนายชวนคอยรักษาสมดุลภายในพรรค และวันนี้มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเอา นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ลงจากเวทีพันธมิตรฯ และร่วมขบวนการรัฐสภา ที่เป็นขบวนการที่ศักดิ์สิทธิ์และประชาชนยอมรับ หากนายอภิสิทธิ์มีความเชื่อมั่นในระบบรัฐสภาจริงจะต้องสั่งให้นายสมเกียรติยุติบทบาทบนเวทีพันธมิตรฯ และเข้าร่วมการอภิปรายโดยไม่มีข้อแม้
*“อัศวิน” ฮึ่มม็อบอย่าให้เกินเลย
ด้าน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ขณะตำรวจเปิดทางสำหรับเข้าและออกไม่มีปัญหาอะไร เส้นทางต่างๆ ขอร้องว่าให้เปิดทาง ปกติทางมันเปิดอยู่แล้วอย่าได้มากีดขวางทางเข้าออก หากปิดถนนอีกตนว่ามันไม่ชอบธรรม อันไหนประชาธิปไตยที่มันเบ่งบานทุกคนก็ยินดี แต่อย่าให้มันเกินเลยหรือเลยเถิดมันก็จะไม่งาม สำหรับกำลังเจ้าหน้าที่ก็ใช้กำลังปกติในทำเนียบก็ใช้จำนวนพันกว่านายเหมือนเดิม เพิ่มบริเวณ ถ.ราชดำเนิน ถ.ลูกหลวง สะพานอรทัย
ต่อข้อถามว่านายกฯ สั่งการอะไรหรือไม่ ผบช.น. กล่าวว่า ตรงนั้นนายกฯ ไม่ต้องสั่งเพราะเป็นหน้าที่ของตำรวจอยู่แล้ว อย่างอื่นบนที่สาธารณะบางครั้งถามว่าผิด ก.ม. หรือไม่ก็พออะลุ่มอล่วยกันได้เพราะว่าการเรียกร้องประชาธิปไตยที่เรียกร้องโดยสงบและไม่มีอาวุธกระทำได้ แต่อย่างทำเนียบเป็นสถานที่ราชการ เป็นที่รโหฐาน ตนสมมติว่าสื่อมีบ้านและมีคนเข้ามาในบ้านโดยที่ไม่รู้จักจะยอมหรือไม่ ตรงนี้เป็นส่วนราชการซึ่งยอมไม่ได้ ถ้ามาบุกรุกกันขนาดนี้มันจะเป็นกบฏไปเลย และหากฝ่าฝืนเข้ามาก็คงต้องดำเนินการไปตามอำนาจและหน้าที่และกฎหมายคงอะลุ่มอล่วยไม่ได้ เพราะทุกอย่างก็คงประกาศให้ทราบไว้แล้ว
*ตำรวจยอมรับเป็นห่วงมือที่สาม
ส่วนกรณีมีรายงานสถานการณ์มือที่สามที่อาจก่อสถานการณ์ให้รุนแรงขึ้น ผบ.ชน.กล่าวว่า ตรงนี้ที่ตำรวจเป็นห่วงที่สุด และสิ่งที่ตำรวจเป็นห่วงมากที่สุดคือการป้องกันสถานที่ราชการ จะต้องทุ่มกำลังเกี่ยวกับการข่าว ที่เกรงมากที่สุดคือคนไม่หวังดีต่างๆ เพราะขณะนี้ยังหาตัวคนเหล่านี้ไม่พบ หากป้องกันตรงนี้ได้ก็สบายใจ ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้พยามปูพรมหาข่าวกับทุกกลุ่ม ซึ่งไม่ได้ห่วงการปะทะระหว่างตำรวจกับพันธมิตรฯ เพราะเราไม่สู้เขาอยู่แล้ว
ผบช.น. กล่าวว่า ขณะนี้พยายามป้องกันอย่างเต็มที่สะกัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่อยากให้กลุ่มพันธมิตรฯ และรัฐบาลเดือดร้อนไม่อยากให้มีการสร้างสถานการณ์ขึ้นมาและทุกคนต่างก็โทษกันเองตนยืนยันว่าไม่น่าจะเกิดได้