การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.51 ซึ่งเป็นการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ในวันที่สามของการพิจารณา ช่วงเช้าเป็นการอภิปราย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จากนั้นในช่วงบ่ายได้เริ่มอภิปรายในส่วนของกระทรวงคมนาคม โดย พ.อ.วินัย สมพงษ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนแรกที่ลุกขึ้นอภิปราย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ต่อจากนั้น นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายนายกรัฐมนตรี และนายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จากนั้น นายถาวร เสนเนียม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายต่อประเด็นการเช่ารถโดยสารปรับอากาศ NGV ของ ขสมก.จำนวน 6,000 คัน
* “วินัย” ยกหางตัวเองจนไฟดับ
พ.อ.วินัย สมพงษ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อดีต รมว.คมนาคม ลุกขึ้นเป็นผู้อภิปราย โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะมุ่งเปรียบเทียบผลงานของตัวเองในอดีตว่าดีกว่ารัฐบาลทำ รวมทั้งพุ่งเป้าไปที่ปัญหาคุณธรรม จริยธรรมของนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม ระบุมีหลักฐานว่า ขณะนายสันติ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ถูกจับได้ว่าให้บุคคลอื่นเข้าสอบแทน โดยปลอมใบขับขี่ใช้เป็นหลักฐานในการเข้าสอบ จนถูกลบชื่อจากการเป็นนักศึกษา
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อ พ.อ.วินัย อภิปรายได้ไม่นานการประชุมต้องยุติลงกะทันหัน เนื่องจากไฟฟ้าดับ ทำให้ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานการประชุม ได้ยุติการประชุมไว้จนกว่าไฟฟ้าจะมา และมีรายงานข่าวว่าบรรยากาศก่อนที่ไฟฟ้าจะดับ พ.อ.วินัย ได้ย้อนอดีตผลงานของตัวเอง ทำให้บรรดา ส.ส.หยอกล้อแซว พ.อ.วินัย ว่า พูดจนน้ำไหล ไฟดับ
* ยันเรียนจนจบปริญญาโท
นายสันติ ลุกขึ้นชี้แจงเรื่องวุฒิการศึกษา ว่า ตนไม่เคยทำใบขับขี่ตลอดชีพ ส่วนเรื่องการไปสอบ หรือไม่ไปสอบ ตนไม่เคยดำเนินการในเรื่องเหล่านั้น ตนเข้าเรียนที่รามคำแหงเมื่อปี 43 จบปริญญาตรี ปี 2545 และเรียนต่อปริญญาโท จบใน 2 ปีถัดมา ส่วนมหาวิทยาลัยดำเนินการอย่างไรตนไม่ทราบ
นายสันติ กล่าวว่า ส่วนเรื่องรถไฟฟ้าสายสีม่วง เป็นทางรถไฟยกระดับ รวม 12 สถานี ดำเนินการมาก่อนที่ตนจะเข้ารับตำแหน่ง มีการออกแบบ เวนคืน เรียบร้อยก่อนตนเข้ามาแล้ว ตนเชิญ รฟม.มาหารือเรื่องการดำเนินการเรื่องรถไฟนี้ต่อไป ปราฏว่า รฟม.ทำไปเรียบร้อยแล้ว และจัดที่จอดรถเอาไว้แล้วเกือบ 2,000 คัน ในแต่ละสถานี ซึ่งตนเห็นว่าเป็นการสร้างที่ไม่สมประโยชน์ จึงสั่งให้ปรับในแต่ละสถานี ให้ลดปริมาณส่วนตัวเหล่านี้ลงไป และเพิ่มพื้นที่รถจักรยาน และพื้นที่จอดรถจักรยานยนต์ แท็กซี่ รถตู้ รถเมล์เล็ก เพื่อลดการใช้รถส่วนตัว
“ส่วนเส้นทางแอร์พอร์ตลิงก์เริ่มจากมักกะสัน อีกเส้นผ่านไปดอนเมืองมี 2 สาย คือ บางซื่อ - รังสิต และหมอชิต -พหลโยธิน สะพานใหม่ กระทรวงหารือสั่งให้ รฟม.หาทางเชื่อมสายสีเขียวเข้ม เข้าดอนเมือง หากไม่สามารถดำเนินการได้จะใช้เส้นบางซื่อ - รังสิต เมื่อโครงการเหล่านี้แล้วเสร็จ สนามบินสุวรรณภูมิ และ ดอนเมืองจะเชื่อมต่อกันได้”
นายสันติ กล่าวด้วยว่า รถไฟรางคู่ ขณะนี้ เรื่องน้ำมันราคาแพง เพิ่มขึ้นเกือบ 100 % การศึกษาของกระทรวงคมนาคม ในประเทศไทยเรื่องการขนส่ง มีปัญหาค่าขนส่งของไทย เมื่อเทียบจีดีพีสูง 16% ขณะที่ประเทศอื่นๆ เพียง 6-7 เท่านั้น ค่าขนส่งของไทยสูงกว่าประเทศอื่นๆ เกือบ 10% ทำให้การขนส่งของไทยสู้ต่างประเทศไม่ได้ การรถไฟจึงเสนอสร้างรถไฟรางคู่ และในทุกระยะทุกๆ 100 กม.จะให้มีสถานีขนส่งสินค้า และนิคมอุตสาหกรรม ให้ประชาชนสามารถมีงานทำโดยไม่ต้องย้ายถิ่นที่อยู่เข้ามาทำงานใน กทม.
* ม.ราม ” ยัน “สันติ” จบถูกต้อง
นายรังสรรค์ แสงสุข อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ชี้แจงว่า มีกรณีการสอบแทนกันเกิดขึ้นจริงแต่เป็นบุคคลอื่นที่ชื่อคล้ายนายสันติ พร้อมพัฒน์ คือ ชื่อนายสานติ พรมพัฒน์ และจับผู้ที่สอบแทน นายสานติ ได้ชื่อนายสวัสดิ์ และดำเนินคดีไปแล้ว ส่วนกรณีนายสันตินั้น เป็นข้อผิดพลาดของฝ่ายวินัย ซึ่งไม่ได้มีการสอบสวน และเสนอชื่อนายสันติ มาให้ตนลงนามคัดชื่อออก เมื่อนายสันติ ทราบเรื่องก็มาต่อว่าทางมหาวิทยาลัย ว่าไม่ได้มีการสอบสวนก่อน
นายรังสรรค์ กล่าว่า ในปี 2542 เป็นปีที่ครบรอบ 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สภามหาวิทยาลัย ได้ออกระเบียบว่าด้วยการล้างมลทินเนื่องในมหามงคลพระชนมพรรษา 6 รอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2542 ในระเบียบระบุให้ล้างมลทินให้แก่บรรดานักศึกษาผู้ถูกลงโทษทางวินัย หรือผู้ถูกกล่าวหาว่าทำผิดวินัยนักศึกษา ให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกกล่าวหา หรือถูกลงโทษ หรือถูกลงทัณฑ์ทางวินัย นายสันติ จึงใช้ช่องทางนั้นและได้รับโอนหน่วยกิตคืนมาทั้งหมด และจบการศึกษาในปี 2545
“ยืนยันว่า นายสันติ จบการศึกษาถูกต้อง มีทรานสคริปต์ครบถ้วน โดยการนิรโทษกรรมนักศึกษาในปี 2542 มีทั้งหมด 44 คน โดยที่เราไม่รู้ว่าเป็น นายสันติ หรือไม่ เพราะตอนนั้น ไม่มีใครรู้จัก นายสันติ และการล้างมลทินลักษณะนี้ก็สอดคล้องกับกฎหมายล้างมลทิน ซึ่งก็ล้างมลทินให้กับข้าราชการที่ทุจริตสามารถกลับเข้ารับราชการได้”
นอกจากนี้ อีกประการหนึ่ง เป็นเพราะทางมหาวิทยาลัยไม่ได้ตั้งกรรมการสอบสวนนายสันติ อาจมีการกลั่นแกล้งกันหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่ใครจะทะเลาะอะไรกัน ก็อย่ามาเอามหาวิทยาลัยรามคำแหงไปเป็นเหยื่อ ส่วนกรณีเป็นบอร์ดการบินไทยนั้น ขอให้ไปตรวจสอบว่า ในแต่ละปีอาจารย์และนักศึกษารามฯ ใช้บริการการบินไทยมากแค่ไหน เรื่องนี้อย่ามาดูถูกกัน และผู้แต่งตั้งตนก็คือ กระทรวงการคลัง
* คิดดีทำดีไม่ใช่แค่ฝ่ายค้าน
ขณะที่ นายถาวร เสนเนียม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารงานขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) ที่จะเช่ารถปรับอากาศ NGV รวม 6,000 คัน คิดเป็นมูลค่าโครงการ 111,690 ล้านบาทนั้น
นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ในฐานะเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงทราบข้อมูลใน ขสมก. ทราบว่ามีหนี้สินติดลบถึง 74,000 ล้านบาท และรู้ทุกขั้นตอนในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเมื่อมีการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาเข้าที่ประชุมมา ซึ่งเห็นว่าเป็นโครงการที่ดี น่าจะสะสางปัญหาหนี้สินของ ขสมก. ได้ จึงเห็นด้วย แต่เนื่องจากข้อมูลยังไม่ชัดเจน จึงดึงเรื่องออกมาก่อน
ดังนั้นจะกล่าวหาว่ารัฐบาลไม่แก้ปัญหาไม่ได้ ทั้งนี้หากฝ่ายค้านเห็นว่า เรื่องนี้ไม่โปร่งใสก็ให้ส่งเอกสารให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ พร้อมระบุคนคิดดีทำดีไม่ได้มีเฉพาะฝ่ายค้านอย่างเดียวในรัฐบาลก็มี อีกทั้งการทำงานเพื่อบ้านเมืองก็ไม่จำเป็นต้องประชาสัมพันธ์ให้ใครรับรู้หรือเป็นข่าว
* ขุดประวัติศาสตร์เข้าสภา
ผศ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าเท่าที่ฟังการเปิดอภิปรายมา อาจไม่ต่อเนื่องแต่ก็จับใจความได้ว่าฝ่ายค้านมีข้อมูลในการอภิปรายน้อย ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีการนำเรื่องทางประวัติศาสตร์มาอภิปราย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นทางฝ่ายค้านไม่ควรรีบเปิดอภิปรายเนื่องจากรัฐบาลเพิ่งทำงานได้เพียง 4 เดือน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะหากจะมีการเปิดอภิปรายรัฐบาลชุดนี้ควรดูที่ผลงาน อาจจะประมาณ 2 ปี ถึงเปิดอภิปราย
ทั้งนี้เรื่องที่เปิดอภิปรายส่วนใหญ่มีแต่เรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้เป็นคนก่อ และส่วนมากมุ่งประเด็นโจมตีไปที่รัฐบาลชุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลชุด นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ฝ่ายค้านหากอยากมีการเปิดอภิปรายควรให้รัฐบาลทำงานไปก่อน
“ผมมองว่าฝ่ายค้านไปอภิปรายรัฐบาลชุด พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเลย เรื่องเขาพระวิหาร ก็ไปโยงเข้ามาให้รัฐบาลชุดนี้รับผิดชอบ เรื่องที่อภิปรายไม่มีประโยชน์เลย กรอบที่จะอภิปรายคือการอภิปรายผลงาน ไม่ขุดเรื่องประวัติศาสตร์ และมุ่งแต่ล้มรัฐบาล”นายสุธาชัย กล่าว
นายสุธาชัย กล่าวอีกว่า เท่าที่ฟังการอภิปรายก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่ารัฐบาลชุดนี้สอบผ่านหรือไม่ เนื่องจากประเด็นที่นำมาอภิปรายไม่มีประเด็นที่จะนำมาสอบได้เลย อีกทั้งลักษณะการอภิปรายก็จืดชืด การโต้ตอบก็ดีไม่รุนแรง แต่เนื้อหาที่นำมาอภิปรายไม่มีอะไรเลย ไม่หนักแน่นอย่างที่คิดไว้
* อภิปราย 3 วันรัฐบาลสอบผ่าน
ด้าน นายมานิตย์ จิตจันทร์กลับ อดีตหัวหน้าผู้พิพากษาศาลฎีกา กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ในการอภิปราย 3 วันที่ผ่านมา รัฐบาลสอบผ่าน การจี้แจงของรัฐมนตรีแต่ละท่านชัดเจนในเนื้อหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีปราสาทเขาพระวิหารที่ฝ่ายค้านพยายามจะนำประเด็นทางประวัติศาสตร์มาโจมตี นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศฉลาดที่จะตอบคำถาม และฉลาดที่จะย้อนถามฝ่ายค้านที่ว่า หากฝ่ายค้านเป็นรัฐบาลจะต้องตัดสินใจทำอะไรหรือไม่ทำอะไรสักอย่าง จะฟังนักวิชาการและดร.นอกราชการ หรือฟังข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศ กรมแผนที่ทหารซึ่งมีหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยยิ่งกว่าใครๆ ที่รับรองว่าประเทศไทยไม่เสียอาณาเขตเลยสักนิด คุณจะเชื่อข้อมูลจากใคร จะทำตามใคร
“รมว.ต่างประเทศตอบชี้แจงได้ค่อนข้างชัดเจน และเขมรเองก็ขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้น ไม่มีประเด็นเรื่องอาณาเขต ไม่ได้พูดว่าเป็นเขตของใคร หากผมเป็นศาลจะชี้ 2 สถานไว้ก่อนว่าคดีนี้คู่ความเขียนเรื่องอะไร เรื่องอาณาเขต หรือเรื่องสิ่งที่จะให้เป็นมรดกโลก” นายมานิตย์ กล่าว
อดีตหัวหน้าผู้พิพากษาฯ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลสอบผ่านแน่นอนถ้าฝ่ายค้านไม่มีอคติต่อรัฐบาล ไม่ตีความภาษาไทยในเอกสารหลักฐานต่างๆ เป็นอย่างอื่น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ชอบแปลคำไม่ตรงกับราชบัณฑิตยสถาน ความหมายจึงผิด
* เฉลิม ประจาน ปชป. ไร้กึ๊น
ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านตลอด 3 วันที่ผ่านมาว่า การอภิปรายของพรรคฝ่ายค้านที่ผ่านมาไม่มีอะไรที่เป็นข้อมูลใหม่ มีเพียงการตัดข่าวหนังสือพิมพ์และดูในเว็บไซต์แล้วเก็บข้อมูลมาอภิปราย และน่าสังเกตด้วยว่ามีการนำข้อมูลจากเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ รวมทั้งข้อมูลจากเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มาอภิปรายในครั้งนี้ด้วย