WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, June 23, 2008

พันธมิตรประชาธิปัตย์

คอลัมน์ : ละครชีวิต

ด้านบนเวที มี สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส. สัดส่วน ร่วมเป็นหนึ่งในห้าแกนนำ ทำหน้าที่ปราศรัยอย่างดุเดือด จนผู้ฟังที่ถูกล้างสมองเลือดลมพลุ่งพล่าน

ด้านล่างเวที มี กัลยา โสภณพนิช ส.ส.กรุงเทพฯ ตัวแทนแบงก์กรุงเทพ นายทุนใหญ่ของพันธมิตรฯ เป็นแม่งานใหญ่ คอยคุมเกม และแจกเบี้ยด้วยตัวเอง

ด้านหลังเวที มี ประพันธ์ คูณมี สำราญ รอดเพชร ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ สามผู้สมัคร ส.ส. ของพรรค นั่งวางแผนปลุกระดมประชาชน และนำประชาชนเคลื่อนไหวก่อกวนความสงบเรียบร้อยไปทั่วทุกมุมเมือง ด้วยแผนการต่างๆ ตลอดทั้งวัน

ด้านข้างเวที มี บุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กรุงเทพฯ ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ส. สัดส่วน รับหน้าที่กองเชียร์ เป่าปากส่งเสียงให้กำลังใจอยู่เป็นประจำทุกค่ำคืน

ด้านนอกเวที มี อลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรค สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค เป็นกำลังหนุน คอยจุนเจือเอื้อเฟื้อการชุมนุม ด้วยการแนะนำ เชิญชวนประชาชนให้มาร่วมฟังคำปราศรัยอยู่เนืองๆ ส่วนจะแถมบริการรถบัสรับส่ง และข้าวกล่องสอดไส้แบงก์ร้อยกล่องละ 3 ใบ ตามเสียงร่ำลือในที่ชุมนุมด้วยหรือไม่ ไม่กล้ายืนยัน เพราะไม่ได้เห็นกับตา เพียงแต่ได้ยินมากับหู

ยังไม่นับ เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ว. ที่มีความสนิทชิดเชื้อกันเป็นพิเศษ และได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมาธิการศึกษาแก้รัฐธรรมนูญ ในโควตาของพรรค ที่เป็นตัวละครหลัก และขาดไม่ได้ บนเวทีพันธมิตรฯ ทุกวี่วัน เป็นตัวทำเกมที่สุดแสนขยันตัวหนึ่งเลยทีเดียว

เพราะความสัมพันธ์เชิงซ้อนของตัวละครทั้งข้างบน ข้างล่าง ข้างๆ และรอบๆ เวทีพันธมิตรฯ กับพรรคประชาธิปัตย์ เป็นแบบนี้นี่เอง จึงอดไม่ได้ที่จะทำให้ใครต่อใครหลายต่อหลายคนคิด และเชื่ออย่างจริงจังว่าเป็นพวกเดียวกัน จนถึงกับเรียกว่า พันธมิตรประชาธิปัตย์

บางคนหนักข้อขึ้นไปถึงกับเรียกเป็น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปตย์ มิใช่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตามที่ได้ปั้นแต่งชื่อตัวเองขึ้นมา แต่สุดท้ายก็กระชากหน้ากากและแก้ผ้าตัวเองให้ได้เห็นกันทั่วบ้านทั่วเมือง ด้วยคำพูดของ พิภพ ธงไชย หนึ่งในห้าแกนนำพันธมิตรฯ ที่บอกว่า เป้าหมายของการชุมนุมของพันธมิตรฯ ก็คือ นายสมัคร สุนทรเวช ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และพรรคพลังประชาชนจะต้องไม่เป็นรัฐบาล รัฐบาลใหม่จะต้องมาจากพรรคการเมืองอื่น

คำพูดของ พิภพ ธงไชย ไม่ต้องแปลความหมายให้สับสนวุ่นวาย เพราะชัดเจนเหลือเกินว่า เป้าหมายของพันธมิตรฯ ก็คือ ทำทุกอย่างเพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

น่าจะเพี้ยนเพราะถูกแดดเผาหัวนานเกินไป ไม่เช่นนั้นก็คงเพราะถูกน้ำค้างและน้ำฝนหล่นใส่หัวจนเชื้อราขึ้นสมอง พิภพจึงหลงคิดเตลิดไปไกลว่า ตัวเองเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของนายกรัฐมนตรี คิดอยากแต่งตั้งให้ใครนั่ง คิดอยากชี้สั่งให้ใครออก บอกได้จากปากตนเพียงคนเดียว กระทั่ง อยากให้พรรคการเมืองไหนเป็นรัฐบาล ก็ดลบันดาลได้ดังใจ โดยไม่ต้องฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ว่าได้ลงคะแนนเลือกตั้งให้พรรคการเมืองใดเป็นรัฐบาล

ไม่ใช่เรื่องประหลาดที่ พิภพ ธงไชย ไม่เรียกร้องให้รัฐบาลคืนอำนาจให้ประชาชนได้ตัดสินใจกันใหม่ ทั้งๆ ที่เป็นหนึ่งในทางออกของระบอบประชาธิปไตย เมื่อการเมืองเดินมาถึงทางตัน เนื่องจากพิภพรู้ดีว่า หากมีการยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจกันใหม่ ประชาธิปัตย์จะพ่ายแพ้ย่อยยับยิ่งกว่าการเลือกตั้งครั้งที่เพิ่งผ่านพ้นมา ที่มีเผด็จการทหารช่วยเหลือแบบออกนอกหน้า ทั้งกระแส และกระสุน แต่ก็ยังสู้พลังของประชาชนไม่ได้

ทั้ง พันธมิตรฯ และประชาธิปัตย์ รู้ดีแก่ใจไม่ว่า จะมีการเลือกตั้งใหม่ภายใต้กติการะบอบประชาธิปไตยอีกกี่ครั้ง พลังประชาชนก็ยังเป็นต่อประชาธิปัตย์ ชนิดที่ไม่มีใครกล้ารอง พิภพ ธงไชย จึงคิดที่จะรวบรัดตัดตอน ใช้ เกมข้างถนน และการเมืองนอกระบบรัฐสภา มาก่อกวนกดดันเพื่อให้ความฝันของตัวเองเป็นความจริง นั่นคือ ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีแก่ใจเช่นกันว่า เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความต้องการของประชาชนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ และ ไม่ต่างจากการข่มขืนใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

สิ่งที่พันธมิตรประชาธิปัตย์คิดวางแผน และถูกเผยออกมาจากคำพูดของ พิภพ ธงไชย ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เรียกได้ว่าเป็น การคอร์รัปชั่นต่อมติของประชาชน และทุจริตต่อระบอบประชาธิปไตย อย่างโจ่งแจ้ง

การบุกยึดพื้นถนนหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าสามารถยึดทำเนียบรัฐบาล และสร้างตรรกะว่ายึดศูนย์กลางอำนาจรัฐไว้ในมือได้แล้วนั้น ก็ไม่แตกต่างอะไรจากบุกเข้าปล้นอำนาจของประชาชน ที่ส่งมอบให้พรรคพลังประชาชนมาจัดตั้งรัฐบาล หมายจะนำไปส่งมอบให้แก่พรรคประชาธิปัตย์ และ ใช้อำนาจเถื่อนของเกมการเมืองข้างถนน มาปั้นเสก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้กำกับดูแลของห้าแกนนำพันธมิตรฯ นั่นเอง

จึงไม่แปลกที่จะมีการแพร่กระจายภาพ สนธิ ลิ้มทองกุล หัวหน้าใหญ่ของพันธมิตรประชาธิปัตย์ ยืนตบไหล่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมคำบรรยายใต้ภาพ “ดีมาก...ไอ้น้อง” และภาพ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำแจกันดอกไม้ไปแสดงความยินดี และอวยพรวันเกิดแก่ สนธิ ลิ้มทองกุล หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไปทั่วทุกเว็บไซต์ และพิมพ์แจกเป็นใบปลิวเกลื่อนเมือง ซึ่งเป็นสองภาพที่อธิบายความสัมพันธ์ของคนทั้งสองได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งมีการ สนธิความสัมพันธ์ของทั้งสองคนออกมาเป็นคำว่า พันธมิตรประชาธิปัตย์ อย่างลงตัวและไม่เกินเลย

พิจารณามาถึงตรงนี้ ก็ได้แต่สังเวชใจกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มุ่งหมายตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อย่างไม่ลืมหูลืมตา และกระทำได้ทุกวิถีทาง แม้จะ มิได้เป็นไปตามกติกาของระบอบประชาธิปไตย และมิได้ใช้กลไกของระบบรัฐสภา ก็ตาม

นายชวน หลีกภัย ยังมีชีวิตอยู่ไหม และซุกหัวอยู่ที่ไหน ที่เคยบอกว่า ประชาธิปไตยไม่มีทางลัด และประชาธิปัตย์ยึดมั่นในระบบรัฐสภา ยังเป็นคำพูดที่เชื่อถือได้หรือไม่ แล้วเหตุใดจึงไม่สั่งสอนหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ให้รู้จักหลักการประชาธิปไตยและระบบรัฐสภาเสียบ้าง

ฤๅว่าพรรคประชาธิปัตย์ยุคของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตัดสินใจดีแล้วที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น

“พรรคพันธมิตรประชาธิปัตย์”

นายกอ