* ‘ทักษิณ’ ฟ้องแกนนำม็อบคนละ 100 ล้าน
การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีความพยายามเรียกร้องความสนใจและสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน เพื่อเป็นการกดดันและต่อรองกับรัฐบาลนั้น ล่าสุดท่ามกลางการประชุมสภาสมัยวิสามัญเป็นกรณีพิเศษ เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีอีก 7 คน ได้มีกระแสข่าวหนาหูว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ได้เตรียมเคลื่อนพลไปยังหน้ารัฐสภา เพื่อกดดันพรรคร่วมรัฐบาลในวันโหวตญัตติที่มีการอภิปราย ซึ่งเลื่อนไปเป็นช่วงเช้าของวันที่ 27 มิถุนายนที่จะถึงนี้
แฉพันธมิตรจ้องกดดันสภา
โดยกระแสข่าวดังกล่าวได้ถูกนำไปโพสต์ไว้บนเว็บไซต์หลายแห่ง อาทิ เว็บไซต์ประชาไท และเว็บไซต์พันทิป ห้องราชดำเนิน ที่เป็นเวทีแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
ข่าวดังกล่าวอ้างแหล่งข่าวจากตำรวจสันติบาล ระบุว่า ในช่วง 1- 2 วันที่ผ่านมามีข่าวว่ามีการหารือกันอย่างไม่เป็นทางการของผู้ที่อยู่เบื้องหลังแกนนำพันธมิตรฯ แกนนำพรรคการเมือง และคอลัมนิสต์นักหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดเป็นอริกับรัฐบาล
มีการวางแผนเคลื่อนขบวนประชาชนไปปิดล้อมที่บริเวณหน้ารัฐสภา ในช่วงค่ำวันที่ 25 มิถุนายน หรืออาจจะเป็นคืนวันที่ 26 มิถุนายน หลังมีการยืดวันอภิปรายออกไป เพื่อกดดันพรรคร่วมรัฐบาล ในการลงคะแนนเสียงไว้วางใจนายสมัคร สุนทรเวช และ รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลอีก 7 คน
แผนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ เพื่อปิดล้อมรัฐสภา ดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ วอลก์เอาต์ ไม่เข้าร่วมลงมติในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนี้ด้วย โดยอ้างว่ารัฐสภาไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้อย่างแท้จริง เพราะโหวตอย่างไรก็แพ้รัฐบาล ซึ่งกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องการที่จะสร้างการเมืองระบบใหม่ขึ้นมา
หวังย้อนรอยพฤษภาทมิฬ
แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคง ระบุว่าในการหารือแบบไม่เป็นทางการนี้ มีความพยายามจะสร้างสถานการณ์ให้เหมือนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ที่ พรรคความหวังใหม่ วอลก์เอาต์ออกจากที่ประชุม และขึ้นเวทีเข้าร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมขับไล่รัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และทำให้สถานการณ์บานปลายกลายเป็นการชุมนุมยืดเยื้อ และมีการสูญเสียเลือดเนื้อในเวลาต่อมา
รวมทั้งยังหวังผลต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้สภาผู้แทนราษฎร ได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ซึ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ที่เตรียมจะนำมาใช้บริหารประเทศไทยในปีหน้าอีกด้วย เพื่อให้กระทบต่อการทำงานของรัฐบาล
ทั้งนี้ จากกระแสข่าวดังกล่าวได้รับการยืนยันจากนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งว่า กลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังพันธมิตรฯ ได้มีการหารือปรับเปลี่ยนแผนในการกดดันขับไล่รัฐบาลจริง
ครู-นักเรียนร้องศาลคุ้มครอง
ส่วนการปิดถนนชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ได้สร้างความเดือดร้อนแก่ส่วนราชการ โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษา นั้น
แหล่งข่าวระบุว่าการชุมนุมดังกล่าวได้สร้างความเดือดร้อนอย่างมาก โดยเฉพาะโรงเรียนที่อยู่ติดกับการชุมนุม อย่างโรงเรียนราชวินิตมัธยม และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร จนกลุ่มครูและผู้ปกครองต้องมีการหารือเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งเรื่องของการเดินทางที่ทำจราจรติดขัด เสียงที่ดังรบกวนสมาธินักเรียน ทั้งยังมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมจนห่วงเยาวชนจะเอาเยี่ยงอย่าง และเป็นห่วงในเรื่องความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษาด้วย
การกระทำดังกล่าวของกลุ่มพันธมิตรฯ กำลังทำร้ายสุขภาพจิตของนักเรียน ครูอาจารย์ และผู้ปกครอง ให้ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ โดยถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงแม้แต่น้อย
โดยล่าสุดกลุ่มผู้ที่เดือดร้อนในส่วนของโรงเรียนราชวินิตมัธยม ทั้งครู นักเรียน และผู้ปกครอง ได้รวมตัวกันเพื่อจะเข้ายื่นคำฟ้องที่ศาลแพ่ง ในเวลา 10.00 น.วันที่ 26 มิถุนายน ให้มีการไต่สวนฉุกเฉิน และคุ้มครองชั่วคราว โดยให้ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ระงับการใช้เครื่องขยายเสียงในการปราศรัยบนเวที และขอให้มีการเปิดถนนให้มีการสัญจรได้โดยสะดวกเช่นเดิม
ห่วงเด็กเห็นตัวอย่างที่ไม่ดี
ด้าน อ.ธาราริน บุตรแสงดี อาจารย์ 2 ระดับ 7 โรงเรียนราชวินิตมัธยม กล่าวว่าจากการพูดคุยกับครูหลายคนและบรรดาผู้ปกครอง รวมไปถึงบุคลากรของพาณิชย์พระนครด้วย ได้มีการปรึกษาถึงความเดือดร้อนและผลกระทบที่นักเรียนนักศึกษาได้รับจนมีความเห็นพ้องกันว่าต้องมีการดำเนินการทำอะไรสักอย่างเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมจากผลกระทบที่ได้รับ จึงรวบรวมบุคลากรที่ได้รับความเดือดร้อนและว่างจากการสอนในช่วงเช้า และผู้ปกครองที่มีเวลาว่างจะไปร้องต่อศาลขอให้มีความคุ้มครอง ให้เปิดถนนและให้พันธมิตรฯ หยุดใช้เครื่องขยายเสียง
อ.ธาราริน ยังกล่าวต่ออีกว่ามีความเป็นห่วงหลายเรื่องตั้งแต่มีการชุมนุมของพันธมิตรฯ ไม่ว่าจะเป็นการพูดจาหยาบคาย ซึ่งห้องเรียนนั้นไม่ได้ติดเครื่องปรับอากาศจึงต้องเปิดหน้าตาตลอดเวลา ดังนั้นเสียงที่ได้ยินเวลาพูดจากเครื่องขยายเสียงนั้นจะชัดเจน เพราะฉะนั้นคำพูดที่หยาบคายนักเรียนจะได้ยินชัด ตนห่วงการรับรู้ของนักเรียนซึ่งตนอุตส่าห์เฝ้าสอนให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่พูดจาให้ร้ายใคร แต่กลายเป็นว่านักเรียนกลับได้เห็นตัวอย่างที่ไม่ดีจากผู้มาชุมนุม
เผยม็อบถ่อยแซว นร.สาว
ที่สำคัญการชุมนุมขับไล่รัฐบาลเป็นภาพสะท้อนหรือปลูกฝังความคิดที่ผิดๆ เกี่ยวกับการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้งมาอย่างถูกต้อง ตนเห็นว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่จะทำให้นักเรียนเข้าใจระบบการเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญแบบผิดๆ ได้
อีกประการที่น่าเป็นห่วง คือนักเรียนผู้หญิงที่ต้องเดินผ่านม็อบเวลาเดินทางมาโรงเรียน มีผู้ชุมนุมวัยรุ่นบางคน พยายามเข้ามาตีสนิท บางคนก็ตะโกนแซว ซึ่งตนเกรงจะเกิดเรื่องเสียหายที่ไม่ดีไม่งามกับนักเรียนขึ้น และมีนักเรียนบางคนบอกกับตนว่า เวลาเดินผ่านกลุ่มม็อบจะมีผู้คนพยายามเอาสิ่งของขนม มอบให้เพื่อต้องการเอาใจและสนับสนุนการมาชุมนุมในครั้งนี้อีกด้วย
ในส่วนประการสุดท้ายที่ตนอยากจะกล่าวนั้นคือ เส้นทางบริเวณหน้าโรงเรียนนั้นเป็นเส้นทางเสด็จฯ ของพระราชวงศ์ สมัยก่อนที่มีการชุมนุมนั้นเวลามีขบวนเสด็จฯ บรรดานักเรียนทุกคนจะให้ความเคารพโดยไม่มีการส่งเสียงดัง กิจกรรมทุกอย่างจะหยุดลงชั่วขณะเมื่อกำลังเสด็จฯ ผ่านมา แต่การกระทำของพันธมิตรฯ กลับไม่ได้มีความสนใจในเรื่องดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย ตนจึงอยากถามว่าพันธมิตรฯ ยิ่งใหญ่คับถนนมาจากไหนถึงไม่ความเกรงกลัวหรือเคารพเบื้องสูงเลย ฟ้อง
แกนนำม็อบคนละ100ล.
ขณะเดียวกันผลจากการชุมนุมดังกล่าว นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ทีมนักกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าได้รับมอบหมายให้เป็นทนายความ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ เพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีกับแกนนำพันธมิตรฯ ที่พูดจาหมิ่นประมาท ที่มีการออกแถลงการณ์ตั้งแต่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนมาถึงการเปิดเวทีชุมนุมในขณะนี้
ในตอนนี้ส่วนของคดีความที่จะดำเนินการนั้นเป็นเรื่องที่กลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวอ้างว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ จะล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้เป็นระบอบประธานาธิบดี และเรื่องที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
สำหรับการฟ้องร้องคดีจะทำการยื่นฟ้องร้องต่อศาลแพ่ง ในวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายนนี้ โดยจะดำเนินการฟ้องร้องทั้งหมด 3 ราย เรียกร้องค่าเสียหายเป็นรายบุคคล รายละ 100 ล้านบาท ได้แก่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายประพันธ์ คูณมี และ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ รวมถึงแกนนำคนอื่นๆ ที่เข้าข่ายหมิ่นประมาท จะทำการศึกษาและฟ้องร้องต่อไป