คอลัมน์: ฮอตสกู๊ป
ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ผู้ซึ่งในอดีตเคยอยู่กับพันธมิตรฯ แต่ปัจจุบันทัศนคติและมุมมองเขาเปลี่ยนไป สะท้อนได้จากบทความที่เขาเขียนลงเว็บไซต์ของตนเอง ที่มีชื่อว่า “เอ็งเคยนึกถึงชาติบ้านเมืองบ้างไหม?”(http://www.nitipoom.com/th/article1.asp?idOpenSky=2983&ipagenum=)
เมื่อวันศุกร์ 20 มิถุนายน ที่ผ่านมา บทความชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า ที่ผ่านมาเขาและประชาชนที่ไปเข้าร่วมถูกหลอก และเปิดประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยกับเพื่อนบ้านซึ่งพันธมารกำลังปลุกกระแสล้าหลังคลั่งชาติอยู่ในปัจจุบัน ความดังนี้
...ผู้อ่านท่านผู้เจริญ เดิมเราเคยคิดว่า บุคคลกลุ่ม a คิดร้ายต่อประเทศชาติราชบัลลังก์ พวกเราที่รักชาติอย่างบริสุทธิ์ใจก็ดาหน้าออกไปต่อต้าน หาแนวร่วมโดยไปรวมเข้ากับกลุ่ม b เพื่อปกป้องประเทศชาติบ้านเมือง
วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป บัดนี้ เริ่มมีเค้าลางหางโผล่ออกมาให้เห็นบ้างแล้วว่า โดยแท้ที่จริง พวกเราถูกหลอกกันทั้งประเทศ ดีกลับเป็นชั่ว ชั่วกลับเป็นดี ธรรมกลับกลายเป็นอธรรม อธรรมกลับกลายเป็นฝ่ายธรรม คนชั่วคิดล้มล้างระบอบการปกครองเดิม กลับกลายเป็นไอ้กลุ่ม b ซึ่งพวกเราหลายคนเคยหลงชื่นชมศรัทธามานาน
แผนการชั่วของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งต้องการให้บ้านเมืองวุ่นวายถึงที่สุด โดยมีเป้าหมายคือการเปลี่ยนแปลงของประเทศครั้งใหญ่ที่สุดใน 789 ปีของประวัติศาสตร์ชาติไทย ตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ บรมปฐมกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยเป็นต้นมา
คนกลุ่มนี้จึงพูดจาจู่โจมโหมกระทบไปถึงประชาชนพลเมืองของเพื่อนบ้านบางประเทศ จนขณะนี้ เริ่มมีน้ำมันเบนซินไปราดรดกองไฟในใจของประชาชนพลเมืองของคนในประเทศนั้นแล้ว ผมคิดว่า คำด่าทอจะขยับขยายกลายเป็นความขัดแย้ง ที่กว่าจะสมานกันได้อาจจะต้องใช้เวลาอีกนานหลายทศวรรษเลยทีเดียว
คนไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งขึ้นหลังคารถด่าทอคนกัมพูชาเป็นภาษาเขมร พฤติกรรมอย่างนี้ทำให้หลายชาติดีใจ ไม่ว่าจะเป็นจีน สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย ฯลฯ เพราะเมื่อด่าทอเขมรอย่างนี้แล้ว ต่อไปในอนาคต ก็ไม่มีคนไทยได้ไปลงทุนทำมาหากินในกัมพูชาแข่งกับผู้คนจากประเทศของตน
พ.ศ.2535-2545 เป็นห้วงช่วงเวลา 10 ปีที่คนเขมรนิยมเรียนภาษาไทย ชอบคนไทย ดูหนังไทย ซื้อสินค้าของไทย ฯลฯ แต่ใน พ.ศ. นี้กลับไม่ใช่แล้วครับ ในกรุงพนมเปญ นักเรียนเขมรนิยมเข้าโรงเรียนจีน บางแห่งมีนักเรียนแย่งกันเรียนเกือบถึงหนึ่งหมื่นคน จนรัฐบาลจีนต้องให้มือที่มองไม่เห็นไปเปิดโรงเรียนจีนแห่งที่สอง ที่สาม...
ต่อไปในอนาคต ผู้คนชนชาติเขมรจะพูดแมนดารินกันเต็มประเทศ คนสิงคโปร์ก็พูดภาษาแมนดาริน คนมาเลเซียเชื้อสายจีนก็พูดแมนดาริน วันนั้นมาถึง คนจีน ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ และมาเลเซีย ก็จะเข้ามาใช้พื้นที่ในกัมพูชา และวันนั้นนั่นแหละครับ คำว่า “กัมพูชาเป็น China’s network” เครือข่ายของจีน ก็จะเป็นความจริง
ชาติที่สู้อิทธิพลเครือข่ายของจีนสุดกำลังก็เห็นจะเป็นเกาหลีใต้ นายลี จุง คัน ประธานบริษัท บูยูยัง เข้าใจแผนการกระดิกพลิกตัวของจีน ก็รีบกระโจนโผนออกไปขอพบนายฮุนเซน แจ้งว่าข้าพเจ้าขอเข้ามาลงทุนในกัมพูชา ทว่าไม่ต้องการมาหากำไรจากประเทศนี้ ว่าแล้วนายลีก็บริจาคกระดานดำ 4 หมื่นแผ่น สร้างโรงเรียนให้ใหม่อีก 300 หลัง สร้างสถานที่อบรมครูบาอาจารย์ นอกจากนั้นยังมอบเงินไว้ให้อีก 9แสนดอลลาร์ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม นายลีก็สั่งให้ขนมามอบให้เขมรอีกหลายตู้คอนเทนเนอร์
ญี่ปุ่นสู้อิทธิพลจีนด้วยการเปิดเที่ยวบินตรงจากจังหวัดคุมาโมโตะ มายังจังหวัดเสียมราฐ ขณะเดียวกันก็ทั้งพูด ทั้งพิมพ์ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับกัมพูชาหวังว่าให้อยู่ในใจคนเขมร ปราสาทในญี่ปุ่นหลายแห่งถูกค้นคว้าหาหลักฐานในเรื่องที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับกัมพูชา ผู้อ่านท่านลองฟังตำนานเรื่องนี้ที่ นายมาซาโตชิ ทานิกาวา ประธานศูนย์ระหว่างประเทศของญี่ปุ่นนำมาเล่าในเขมรสิครับ
400 ปีที่แล้ว ซามูไรคนหนึ่งซึ่งทำการค้ากับกัมพูชา ท่านนำสินค้าพวกผ้าไหม น้ำตาล กลับมาขาย ได้กำไรแล้วก็นำสตางค์ไปสร้างปราสาทคุมาโมโตะ ซึ่งเป็นสมบัติสำคัญของญี่ปุ่นจนกระทั่งทุกวันนี้"เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง พวกเราชาวญี่ปุ่นจึงขอปลูกคูโซโนกิ 3 ต้น ไว้ในนครวัด เพื่อเป็นที่ระลึกนึกถึงความสัมพันธ์ของเราทั้งสอง”
เป็นไงครับ ต่างจากพฤติกรรมคนไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่เคยแหย่เท้าเข้าไปสร้างสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อช่วยประเทศไทย แต่กลับไปยืนบนหลังคารถ พ่นคำผรุสวาทออกมาด่าเป็นภาษาเขมร จนคนเขมรเอาไปฟังแล้วแค้นกันทั้งประเทศ
พวกเอ็งเคยนึกถึงประเทศชาติบ้านเมืองกันบ้างไหม?...