WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, June 26, 2008

ญี่ปุ่นเตือนไทยม็อบป่วนไม่เลิกส่อซ้ำรอยพม่า

หอการค้าญี่ปุ่นเผยผลสำรวจความเห็นนักลงทุนในเมืองไทย หลังมีรัฐบาลประชาธิปไตย ชื่นชมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและมาตรการควบคุมเงินเฟ้อ เผยการขยายตัวการลงทุนช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวรวดเร็ว แต่เป็นห่วงหลังมีการชุมนุมยืดเยื้อทำความเชื่อมั่นถดถอยไปเยอะ เตือนหากการเมืองไทยยังปั่นป่วนไม่เลิก อาจถูกกดดันแบบเดียวกับวิกฤตการณ์ในประเทศพม่า

นายโยอิชิ คาโตะ ประธานคณะกรรมการวิจัยทางเศรษฐกิจ หอการค้าญี่ปุ่น กรุงเทพฯ (เจซีซี) และประธานเจโทร แถลงผลการสำรวจแนวโน้มเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย รอบแรกของปี 2551 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน โดยเป็นการสำรวจสมาชิกบริษัทญี่ปุ่นในไทยจำนวน 1,278 บริษัท ระหว่างวันที่ 30 เมษายน-30 พฤษภาคม โดยตอบกลับ 337 บริษัท หรือ 26.4%

พบว่า 49% ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถามระบุว่า สภาวะทางธุรกิจดีขึ้นในครึ่งปีแรก 2551 เท่ากับครึ่งปีหลัง 2550 ขณะที่ 23% ตอบว่าสภาวะทางธุรกิจแย่ลง ส่งผลให้ดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจ (ค่าดีไอ) มีค่าเท่ากับ +26 เพิ่มขึ้นเพียง 1 หน่วย ขณะที่บริษัทคาดภาวะธุรกิจในครึ่งปีหลังดีขึ้น 44% และตอบว่าแย่ลง 21% ทำให้มีค่าดีไอ +23 ลดลงจากครึ่งปีแรก 3 หน่วย

นายคาโตะกล่าวถึงผลสำรวจประมาณการยอดขายในปี 2551 ว่าส่วนใหญ่ตอบว่าจะเพิ่มขึ้น แต่ยอดขายเพิ่มในอัตราเกิน 20% มีแนวโน้มลดลง ในแง่การลงทุนพบว่า รอบปี 2551 ขยายตัว 28.5% หรือมีมูลค่า 56,001 ล้านบาท ในจำนวนนี้บริษัทตอบว่าลงทุนเพิ่ม 70 บริษัท ลงทุนเท่าเดิม 59 บริษัท ลงทุนลดลง 49 บริษัท ยังไม่ตัดสินใจ 11 บริษัท
ส่วนปัญหาด้านการบริหาร พบว่า 65% มองว่า ปัญหาแรกคือราคาวัตถุดิบสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาอันดับสองในการสำรวจครั้งก่อน รองลงมาคือ การแข่งขันรุนแรง จากเดิมเป็นปัญหาอันดับแรก อันดับสามคือปัญหาขาดแคลนบุคลากรและค่าจ้างแรงงานที่สูงขึ้น ส่วนปัจจัยกระทบต่อเศรษฐกิจในอนาคต บริษัทระบุว่าการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพ รวมถึงค่าจ้างแรงงาน เงินเฟ้อ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน และการเมือง

นายคาโตะกล่าวถึงผลสำรวจระบุถึงนโยบายของรัฐบาลใหม่ว่า ไม่เห็นด้วยและต้องการให้ยกเลิกนโยบายแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว แต่พอใจกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลดภาษี มาตรการควบคุมเงินเฟ้อ รวมถึงส่งเสริมพลังงานทดแทนและผลักดันการใช้อี 85 และอยากให้สานต่อแผนขยายสนามบินสุวรรณภูมิระยะสอง และขยายขนส่งมวลชนในกรุงเทพฯ เลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนนำเข้า 30% พร้อมแนะนำให้รัฐบาลส่งเสริมการศึกษาและการพัฒนาบุคลากร ขยายการขนส่งพื้นฐานทั้งรถไฟฟ้า รถไฟ สร้างทางด่วนต่างๆ และรวมกลุ่มประชาคมอาเซียนหรือเอเชียตะวันออกกลาง

นายคาโตะกล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ได้ทำก่อนที่การประท้วงจะยืดเยื้อ และมุมมองต่อรัฐบาลไทยหลังมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จ จะเห็นว่าค่าดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจในความเห็นของบริษัทญี่ปุ่นในไทยยังดีอยู่ และน่าพอใจ แม้แนวโน้มจะลดลงบ้าง แต่หากมีความรุนแรงของการประท้วงที่เพิ่มขึ้นหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยจนรัฐบาลต้องลาออกหรือยุบสภา ก็อาจกังวลต่อความล่าช้าและอุปสรรคต่อการกำหนดนโยบายของภาครัฐโดยเฉพาะกระทรวงการคลังในด้านกฎระเบียบ ด้านภาษีและศุลกากร แต่ยังระบุไม่ได้ว่าจะชะลอการลงทุนหรือถอนการลงทุนหรือไม่ เพราะตัวแปรไม่ใช่เฉพาะการเมืองเท่านั้น ยังมีตัวแปรอื่นๆ อีก

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังมองไทยดีอยู่ แต่ยอมรับว่าต้องเพิ่มความระมัดระวังต่อการทำธุรกิจในอนาคตมากขึ้น และยังไม่อาจประเมินได้ว่าเศรษฐกิจปีนี้จะเป็นอย่างไร เพราะทั่วโลกกำลังเปลี่ยนทั้งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากปัญหาซับไพรม์ เงินเฟ้อสูงในหลายประเทศ

หากไทยมีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงและเปลี่ยนแปลงการเมืองครั้งใหญ่ หากเกิดขึ้นอีกในรอบ 2 ปี อาจทำให้นานาประเทศกดดันไทยมากขึ้น เช่น พม่า ที่ทำให้ผู้สื่อข่าวญี่ปุ่นเสียชีวิต ซึ่งก็มีข่าวลือในครั้งนั้นว่าสหรัฐมีการกดดันผ่านสิงคโปร์ให้คัดพม่าออกจากอาเซียน หากไทยยังเจอเหตุการณ์การเมืองครั้งใหญ่และเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ ติดต่อกัน อาจถูกกดดันได้เหมือนพม่า

ซึ่งญี่ปุ่นและโลกมองว่าอาเซียนจะมีบทบาทสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ก็หวังว่าความเปลี่ยนแปลงการเมืองคงเกิดขึ้นได้ยากในไทย ซึ่งไทยยังได้เปรียบเวียดนามที่กำลังกระทบในเรื่องเงินเฟ้อสูงและการสไตรค์ นายคาโตะ กล่าว