มีคำปรามาสว่า คนไทยเป็นคนจับจด ไร้ราก รักสนุก ขาดความใฝ่รู้ ปราศจากความพินิจ หลงงมงาย ถึงแม้จะคัดค้านอยู่ในใจว่า คนประเทศไหนๆ ก็น่าจะมีคนลักษณะเช่นที่ว่ากันทั้งนั้น แต่เมื่อขบคิดพิจารณา ก็เห็นว่ามีส่วนจริงอยู่ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะการขาดความใฝ่รู้ หลงงมงาย ปราศจากความพินิจ ดูจะตรงอย่างปฏิเสธมิได้
พิสูจน์ง่ายๆ ยกข่าวคราวต่างๆ ที่กำลังฮอตฮิตสักเรื่องหนึ่ง แล้วถามไล่เลียงคนที่กำลังพูดถึงอย่างสนุกปาก เพียงไม่กี่คำก็จะรู้ว่าเขามีความชัดเจนต่อข่าวคราวนั้นอย่างไร บางคนไม่อ่านด้วยซ้ำ ชอบเสพข่าวเรื่องราวผ่านหูมากกว่าใช้ปัญญาพินิจ
สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่เชื่อง่าย พร้อมจะศรัทธาลุ่มหลง ไก่สี่ขา หมาสองหัว ที่ไหนก็พร้อมจะไหว้กราบกรานหวังพึ่งพา
ไม่น่าแปลกที่ผลวิจัยจะบอกเราว่า คนไทยเสียเงินกว่าปีละพันล้านบาทเพื่อเป็นค่าทำนายทายทักของหมอดู และใช้เงินเป็นหมื่นล้านกับการทรงเจ้าเข้าผี สถิตินี้ตรงสมกันว่า โดยเฉลี่ยไทยเป็นอันดับหนึ่งในเรื่องการดูโทรทัศน์ 22-24 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในขณะที่อินเดีย คือผู้นำอันดับหนึ่งในการอ่านหนังสือ 10-42 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
การขาดปัญญาพินิจ ไม่แม่นในหลักการ พบเห็นสิ่งใดที่ชอบใจ ถูกใจ พากันศรัทธาเลื่อมใสโดยไม่ใคร่ครวญไตร่ตรองว่าถูกต้องตรงตามหลักการหรือไม่
พุทธศาสนามีหลักอยู่ว่า ชีวิตยังคงเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุพระอรหันต์ ตัดขาดเหตุปัจจัยแห่งการเกิด แต่เพราะถูกใจในคนที่อ้างความมักน้อย สันโดษภายนอก จึงศรัทธาเลื่อมใสโดยไม่เอาหลักการไปจับว่า สิ่งที่คนผู้นั้นอ้างตนว่าเป็นพระอรหันต์กลับชาติมาเกิด ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานที่สุดที่ชาวพุทธทุกคนควรทราบ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของหลักการในพระพุทธศาสนา แค่นี้ก็เห็นถึงความอ่อนด้อย ไร้หลักการ พึ่งตนเองไม่ได้ ไม่ใช่ชาวพุทธที่มีคุณภาพ
กับการอ้างกองทัพธรรม ตั้งพรรคการเมือง แสวงหาอำนาจทางการเมือง เข้าร่วมกลุ่มแก๊งอันธพาลข้างถนน แสดงอำนาจบาตรใหญ่ ไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะอะไรคนกลุ่มนี้ถึงไม่รู้ว่ามันผิดหลัก นอกทางผู้ปฏิบัติธรรม ผู้แสวงหาความหลุดพ้นจะพึงกระทำ
ผศ.เสถียร วิพรมหา เลขาธิการองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (อพช.) ให้สัมภาษณ์ผ่านประชาทรรศน์ รายสัปดาห์ ฉบับที่ 73 ประจำวันเสาร์ที่ 21-วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พุทธศักราช 2551 เรียกร้องประชาชนผู้รักชาติ และประชาธิปไตย ช่วยกันต่อต้านกลุ่มสันติอโศกร่วมพันธมิตรฯ ปลุกม็อบปิดถนน ชี้เป็นพวกหัวแข็ง ยึดมั่นในตัวเอง บิดเบือนหลักธรรมคำสอนพระพุทธศาสนา เช่น ห้ามกราบไหว้บิดา มารดา แปลคำศัพท์พิสดาร “ตัณหา” แปลว่า หาไม่เจอ จี้หยุดใช้ชื่อกองทัพธรรม
ทำให้คนเข้าใจพระพุทธศาสนาผิด ย้ำการบิณฑบาต การสวดมนต์ การเทศนา ห่มผ้าสีหมากสุกคล้ายจีวร เป็นการกระทำผิดซ้ำ พุทธบริษัทที่ต้องการคุ้มครองพระพุทธศาสนาไม่ให้แปดเปื้อน แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษได้ทันที! เพราะหากไม่ทำอะไรเท่ากับยอมรับ และจะเกิดลัทธิเอาอย่างขึ้นในอนาคตอีกมากมาย อันเป็นการบ่อนทำลาย บั่นทอนความมั่นคงชาติ และพระพุทธศาสนา
“กลุ่มสันติอโศก หรือชาวอโศก เมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว มาจากต้นเรื่อง คือ โพธิรักษ์ หรือ นายรักษ์ รักษ์พงษ์ เขามีศรัทธาศาสนาเหมือนกับเราชาวพุทธทั่วไป เขาไปบวช จำได้ว่าเมื่อประมาณปี 2518 เคยไปทำท่าจะบวชหรือไม่อย่างไร บวชที่วัดอโศการาม ก่อนวัดหนองกระทุ่ม อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ขนาดมีชยันโตในอุโบสถแล้ว แต่ว่าหายเงียบไป แล้วไปบวชจริงๆ ปี 2518 ที่วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ ได้ปีเดียว วุ่นวาย เพราะว่าคนหัวดื้อ เกิดความเชื่อมั่น เรียกว่า “อัตตทิฐิ” ไปมีปัญหากับเจ้าอาวาส กับคณะสงฆ์ภายในวัด แล้วแยกตัวออกมาอยู่กับคณะแม่ชี แล้วมาเคลื่อนไหวในหลักการของเขาที่ ม.ธรรมศาสตร์ ที่มีผลและเกิดปัญหาในปัจจุบันคือเรื่องถือศีลกินมังสวิรัติของเขา
ทีนี้ต่อมากลุ่มสันติอโศก เขาเรียกว่า ชาวอโศก เมื่อขณะที่เขาดำรงฐานะเป็นพระภิกษุ เราถือว่าเป็นพระภิกษุในพุทธบัญญัติ ในพระธรรมวินัย ต้องอยู่ในการปกครองของคณะสงฆ์ ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 แก้ไขปี 2535 แต่ว่าในช่วงที่เป็นพระ มีพฤติกรรมดังกล่าว เขามีความคิดที่แปลกแยก เขาถือตนเป็นใหญ่และยึดพระธรรมเป็นหลัก แต่ว่าความเป็นจริงและหลักการของพระธรรมวินัยแล้วมันตรงกันข้าม ดูเหมือนว่าเขากำลังจะแยกตัวเองออกจากพระธรรมวินัย แยกตัวเองออกจากคณะสงฆ์ ปัญหาตรงนี้ก็จะไปกระทบต่อวัด คณะสงฆ์ว่าด้วยการปกครอง ที่เป็นรูปแบบอันเป็นฐานปฏิบัติเดิมของคณะสงฆ์ไทย
ต่อมาเมื่อเขามีกลุ่มคณะรวมตัวกัน จึงประกาศตนเองว่า เขายึดพระธรรมอย่างเดียว แต่ไม่ขึ้นอยู่กับคณะสงฆ์ แล้วพฤติกรรมของเขามีการกล่าวโจมตีคณะสงฆ์ โจมตีพระเถระผู้ใหญ่ และโจมตีคณะสงฆ์เรื่อยมา นั่นเป็นความผิดพลาด เพราะว่าคุณโพธิรักษ์เป็นนักจัดรายการ ตั้งแต่ช่อง 4 บางขุนพรหม ลองลำดับดู การที่จะเข้ามาสู่วงการพระ แต่ตอนนั้นเขาบวชจริงๆ แต่พฤติกรรมเขามาจากฐานตรงนั้น
ทีนี้ปัญหาดังกล่าว ทางคณะสงฆ์เริ่มวิตกกังวล จนในที่สุดกำหนดสันติอโศกเป็นกรณีศึกษา และเป็นประเด็นปัญหาเรื่องปกครองคณะสงฆ์ รวมทั้งหลักพระธรรมวินัยของพระภิกษุ กล่าวคือ ระบบการลงโทษพระสงฆ์ที่ประพฤตินอกรีต ไม่อยู่ในอาณัติของผู้บังคับบัญชาของพระผู้ปกครอง จะต้องตักเตือน เมื่อตักเตือนแล้ว แนะนำแล้ว กระบวนการในทางปฏิบัติของการลงโทษก็จะใช้พระวินัย ซึ่งเป็นบทบัญญัติสำคัญของการดูแลควบคุมพระสงฆ์ เช่น พระประพฤติผิดพระธรรมวินัย เมื่อตรวจสอบชัดเจนแล้วก็ต้องให้ลาสิกขา หรือปรับอาบัติตามพระวินัยบัญญัตินั้นๆ”
ผศ.เสถียร วิพรมหา ยังชี้ให้เห็นถึงอันตรายจากสำนักสันติอโศกที่แปลกแยกจากคณะสงฆ์
“ตัวเขา (โพธิรักษ์) ถือเป็นศาสดา เป็นอุปัชฌาย์เอง คือนอกระบบทั้งหมด คิดใหม่ทำใหม่ทั้งหมดเลย เรามองในแง่ที่ว่า คิดใหม่ทำใหม่นะ แต่เป็นแบบทำเอง เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องมี 2 อย่างควบคู่กันไป คือ พระธรรม กับพระวินัย ศีล 227 และนอกจากนั้นต้องมีเกณฑ์มาตรฐานของคณะสงฆ์ คือ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ หรือกฎหมายของสงฆ์ การจะบวชต้องได้รับอนุญาต และมีการเช็กประวัติตามเกณฑ์ ฉะนั้น พระธรรมวินัย โดยการปกครองสงฆ์ ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ ตัวเขามีความแตกต่าง จนกลายเป็นความแตกแยกทางความคิด และสร้างปัญหาพฤติกรรมแปลกแยกมาเรื่อยๆ แต่ยังมีคนเห็นแบบเดียวกับเขา ปัญหาเรื่องนี้เลยขยายตัว
เหตุนี้เองทางคณะสงฆ์จึงมีความวิตกกังวลว่า ไม่สามารถบริหารจัดการผู้ใต้บังคับบัญชาได้ ซึ่งในทางบริหารจัดการของพระสงฆ์คือ สังกัดวัดไหน ให้เจ้าอาวาสหรือเจ้าคณะทำการตรวจสอบแก้ไข แต่ว่าพฤติกรรมคือ นอกจากจะไม่ฟังเจ้าสำนักแล้ว ยังมีลักษณะโจมตี ที่เขาอ้างว่ากระแสหลักมันเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข รากฐานเดิมที่เขาไม่ยึดถือจารีตประเพณีวัฒนธรรมของพระสงฆ์ที่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ทางคณะสงฆ์เราได้มีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาตั้งหลายรอบ เริ่มต้นที่ปี พ.ศ.2518 หลังจากที่รวมกลุ่มกันได้ประกาศแยกตัวเองออกจากคณะสงฆ์ เรียกว่า นานาสังวาส ซึ่งอันที่จริงคำนี้หมายถึง มีพระธรรมวินัยว่าด้วยการปฏิบัติบางข้อบางประการที่แตกต่างกัน ไม่สามารถจะร่วมคณะเดียวกันได้ แต่ต้องเป็นพระ อย่างอุบาสก-อุบาสิกาไม่สามารถอ้างนานาสังวาสได้ เพราะไม่ใช่พระ แต่ทีนี้เขาเข้าใจว่าเขาเป็นพระ จากนั้น 1 ปีต่อมาจึงได้ตั้งสันติอโศกขึ้น โดยเป็นกลุ่มซึ่งตอนนั้นยังไม่เติบโตเท่าทุกวันนี้ ที่ขยายไปเกือบทั่วภูมิภาค และมีมูลนิธิกองทัพธรรม สมาคม และเครือข่ายของมูลนิธิกองทัพธรรม ภายใต้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กลุ่มนี้ถือว่าเติบโตมาก
จากนั้นปี พ.ศ.2522 พล.ต.จำลอง ประกาศตัวเป็นสาวกทันที พล.ต.จำลอง จึงดังมาภายใต้เสื้อม่อฮ่อม นี่ไง สโลแกนคือ คนเคร่งศีล เคร่งธรรม มังสวิรัติ ไม่บริโภคเนื้อ กินเจ ที่เขาเรียกว่า มังสวิรัติ แท้จริงแล้วคำว่ามังสวิรัติ แปลว่า เนื้อกับปลา คือ เว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ ซึ่งในพระพุทธประวัติ พระเทวทัตนำมาใช้แล้ว เคยอวดอ้างสมัยที่ขอกับพระพุทธเจ้า ที่ว่าอยู่ในป่าเป็นวัตร อยู่โคนไม้เป็นวัตร นุ่งห่มผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ไม่ฉันปลา ไม่ฉันเนื้อ เรียกว่าเป็นแนวคิดแนวปฏิบัติทำให้เกิดกระแสใหม่ ซึ่งในพระธรรมวินัยกระแสใหม่จะขัดหรือไม่อย่างไร ต้องดูที่ฐานเดิม สิ่งที่เป็นข้อปฏิบัติของพระ ของคณะสงฆ์สายเถรวาท
กรณีสันติอโศก เห็นได้ชัดว่าเมื่อเขาทำการรวมตัวกันได้ ต่อมาไปตั้งพรรคพลังธรรม เพราะมีสานุศิษย์ของเขาที่มีความเชื่อเหมือนกัน พล.ต.จำลอง เข้ามาเต็มตัว แล้วเริ่มมีการขยายผล ขยายสำนัก มีสาขา บึงกุ่ม บางกะปิ ที่ จ.ศรีสะเกษ นครปฐม ฯลฯ และมีการตลาดทางด้านระบบสหกรณ์ เอามังสวิรัติเป็นตัวตั้ง และเสื้อม่อฮ่อมเอาไว้ขาย โดยสัญลักษณ์คือ กลุ่มปฏิบัติธรรมมักน้อย สันโดษ ในหลักพุทธศาสนามักน้อย สันโดษ ถือเป็นแนวปฏิบัติอหิงสา ไม่เบียดเบียน ใครทำได้ผู้นั้นจะได้คุณด้านจิตใจและร่างกาย และได้ศรัทธาจากการประพฤติปฏิบัติ แต่เป็นอำนาจของคุณของศีลในทางพุทธศาสนาที่ประพฤติปฏิบัติ”
ทั้งยังเตือนว่า ถ้าบ้านเมืองไม่จัดการ จะเกิดลัทธิเอาอย่างนับร้อยนับพันในอนาตคตอันใกล้ และกลายเป็นปัญหาด้านความมั่นคงในที่สุด
“ขณะนี้อาจจะมีอยู่บ้างแล้ว แต่เขายังไม่แสดง แต่กรณีนี้จะเป็นกรณีตัวอย่างให้กับกลุ่มอื่นๆ หรือคนที่คิดจะดำเนินการแบบนี้ ก่อให้เกิดความยุ่งยากต่อการบริหารประเทศได้ ต่อพระพุทธศาสนาได้
ทีนี้ในแง่ของข้อกฎหมายมันต้องมานั่งคุยกันว่า การบริหารประเทศ อาณาจักรคือรัฐบาล กับศาสนจักรคือคณะสงฆ์ และบุคคลในวงการศาสนา ที่ระบุอยู่ตอนนี้ คือกลุ่มนี้ มันมีการดำเนินการมีช่องทางที่จะทำ แต่มันเป็นความเสียหายที่รัฐบาลจะต้องอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา แต่ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลไปเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายตรงข้าม จึงมองว่าเขาเป็นส่วนที่เราจะต้องไปล้มล้าง ไม่ใช่นะ แต่ดำเนินการตามกฎหมาย ตามครรลอง ตามมาตรฐาน และทุกรัฐบาลที่ถูกต้อง ต้องดำเนินการ ที่ผ่านมาไม่มีการดำเนินการเลย
และที่สำคัญ ที่ผมพูดค้างไว้คือว่า ทุกอย่างที่เป็นสภาวธรรม ความถูกต้องถูกผิด เรารู้ว่าควรจะศรัทธาและเข้าไปสนับสนุนอย่างไรนั้น เมื่อรู้ว่าอย่างนี้เกิดปัญญาแท้จริง รูปแบบต่างๆ ศีลธรรม วัฒนธรรม เสร็จแล้วอยากให้เราพูดต่อไปว่า บ้านเมืองต้องร่วมกันแก้ ศาสนาก็ต้องร่วมกันแก้ 95% รัฐบาลต้องช่วยเหลือ ถ้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะสงฆ์มือเดียว ขาเดียว ชาวพุทธไม่ช่วย รัฐบาลไม่ช่วย ทั้งที่มีอำนาจบริหารได้ มันจะล่มทั้งชาติและศาสนา”
เพื่อให้รู้เท่าทันว่า นั่น...เป็นกองทัพธรรม หรือกองทัพทราม ควรรีบหามาอ่าน เพราะข้อมูลที่ชัดเจน ตรงประเด็นครบครันแบบนี้ มีที่ประชาทรรศน์เท่านั้น อย่าช้า...ครับท่าน