แต่สิ่งที่ไม่ตลกคือความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านถูกกระทบอย่างแรงไปแล้วจากปากของคนประชาธิปัตย์ ซึ่งถ่ายน้ำลายมาจากเวทีพันธมิตรฯอีกต่อหนึ่ง ยังไม่รู้จะทำอย่างไรกันต่อไป กาหลิบ //////////////////////////// คอลัมน์: เลือกคบ ไม่เลือกข้าง:...จากหนังสือพิมพ์โลกวันนี้ 27/06/2551
ใครจะว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลรอบนี้จืดชืดหรือขาดความเร้าใจอย่างไรก็ตาม ผมกลับเห็นว่ามีประโยชน์ยิ่งต่อการปฏิรูปการเมืองในระยะยาว เพราะทำให้คนทั่วไปตาสว่างและได้รู้กันทั่วสักทีว่าพรรคประชาธิปัตย์คือใคร
ก็เนื้อหาและประเด็นที่หยิบมาอภิปรายนั่นล่ะครับเป็นตัวบอก
บอกว่าเป็นฝ่ายค้านของรัฐบาลที่นำโดยพรรคพลังประชาชน หรือเป็นฝ่ายที่คอยคัดค้านระบอบประชาธิปไตยของบ้านเมืองกันแน่
ตรายี่ห้อเก่าๆว่าเป็นพรรคที่ต่อสู้กับเผด็จการเพื่อประชาธิปไตยนั้น อย่ายกขึ้นมาอีกเลยครับ จะอายเขาเสียเปล่าๆ
เพราะมันจบสนิทไปตั้งแต่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพวกตัดสินใจไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๙ และประกาศต่อสาธารณชนว่าพรรคประชาธิปัตย์จะกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๗ ของรัฐธรรมนูญของประชาชน พ.ศ. ๒๕๔๐ นั่นแล้วล่ะครับ
จำได้ไหมว่าเรื่องหลังนี้จบอย่างไร
รบกวนเบื้องพระยุคลบาทถึงขนาดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงมีพระราชดำรัสว่าอย่าขอพระราชทานนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๗ ขึ้นมา เพราะจะทำให้คนเขาค่อนได้ว่าพระเจ้าอยู่หัว "ไม่เป็นประชาธิปไตย"
ครับ แนวคิดของคุณอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์มันถึงขนาดนั้นทีเดียว
คนที่มียางอายแม้แต่เพียงบางๆ เขาคงจะกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคและผู้นำฝ่ายค้านฯ และคงหลบหน้าผู้คนไปเสียนานแล้ว
แต่อย่างที่เขาว่าล่ะครับ...สมัยนี้เก่งไม่กลัว กลัวหน้าด้าน
การอภิปรายของฝ่ายค้านที่ผ่านมา คงจะอ้างได้ยากว่าเป็นการทำงานเพื่อระบอบประชาธิปไตยเพราะเหตุที่เตือนความจำมานี้ แถมยังต้องไม่ลืมว่าระหว่างที่บ้านเมืองยังอยู่ใต้ท็อปบู๊ตทหารหลัง ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ นั้น พรรคการเมืองที่ได้รับโอกาสให้ขึ้นป้ายหาเสียงและออกสื่อของรัฐอย่างเอิกเกริกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย คือพรรคประชาธิปัตย์
มิหนำซ้ำเมื่อทุกอย่างซาลง คนอย่างคุณสกลธี ลูกชายของพลเอกวินัย ภัททิยกุล เลขาธิการคณะรัฐประหาร ยังลงสมัครรับเลือกตั้งและได้เป็น ส.ส.ในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์มาจนวันนี้
คนอย่างคุณสมเกียรติ พงศ์ไพบูลย์ ซึ่งเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกไปเป็นแกนนำและขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ของสนธิลิ้มและพลตรีจำลอง ซึ่งเป็นขบวนการการเมืองนอกสภาอย่างโจ่งแจ้ง แถมยังผิดกฎหมายอีกหลายข้อ สร้างความเดือดร้อนกับผู้คนในแถบนั้นโดยไม่สนใจเขาเลย แล้วยังกลับเข้ามาลอยหน้าลอยตาใช้ระบบรัฐสภาเป็นเครื่องมือ จนถูกคนที่หมั่นไส้เขากระโดดถีบกลางสภามาแล้ว
ประวัติส่วนตัวของพรรคประชาธิปัตย์แบบนี้ ไปขอต่อแถวประชาธิปไตยกับใครเขาในโลกก็คงจะถูกถ่มถุยออกมา
เมื่ออภิปรายเรื่องเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นเรื่องเก่าสมัยที่อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือคุณเสนีย์เป็นทนายไปว่าความแพ้เขาในศาลโลก โดยวกมาบอกว่าเห็นไหมว่ารัฐบาลนี้ไม่รักชาติรักแผ่นดิน โดยขาดข้อเท็จจริงที่จะบอกได้ว่าเป็นความผิดหรือแม้แต่ความไม่สมควร พรรคประชาธิปัตย์ก็กลายเป็นตัวตลกทางการเมืองไป
แต่สิ่งที่ไม่ตลกคือ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านถูกกระทบอย่างแรงไปแล้วจากปากของคนประชาธิปัตย์ ซึ่งถ่ายน้ำลายมาจากเวทีพันธมิตรฯอีกต่อหนึ่ง ยังไม่รู้จะทำอย่างไรกันต่อไป นี่ยังไม่ได้พูดถึงประเทศที่สามอีกหลายร้อยประเทศที่เขามองไทยอย่างสังเวชใจว่าก่อเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไรกัน
และเมื่ออภิปรายเรื่องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ขนาดอดีตรัฐมนตรีที่เขาลาออกไปแล้วและไม่ได้นั่งอยู่ในสภาด้วย ยังไปงัดมาพูดจนนายกรัฐมนตรีต้องลุกขึ้นตอบแทน ก็ยิ่งเกิดคำถามขึ้นในใจว่าเรื่องเบื้องสูงขนาดนี้กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของบางพรรคไปแล้วหรืออย่างไร เพราะเจ้าตัวต้องรู้ดีว่าเรื่องแบบนี้ยิ่งพูดยิ่งเสีย ไม่เป็นประเด็นได้ถือว่าดีที่สุด
พรรคการเมืองในยุคนี้ไม่ควรเป็นเพียงตัวแทนของใบไม้เก่าๆที่จะปลิดร่วงไปตามกาลเวลา แต่ควรเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างเก่ากับใหม่เพื่อให้ต้นไม้นั้นยืนต้นงอกงามต่อไป
แต่พรรคการเมืองที่ว่ามานี้คงจะสายเกินแก้แล้ว
เพื่อไทย
Friday, June 27, 2008
ประชาธิปัตย์คือใคร?
กาหลิบ
จาก thai-grassroots