* ทนายม็อบดิ้นร้องศาลเพิกถอนคำสั่งคุ้มครอง
จากกรณีกลุ่มครู-นักเรียน-ผู้ปกครอง รวมถึงนักการภารโรงของโรงเรียนราชวินิตมัธยม ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งในด้านการจราจร ปัญหาเสียงดังรบกวนการเรียนการสอน รวมไปถึงกลิ่นขยะและปัสสาวะที่ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณ จนตัวแทนครู-นักเรียน ได้ดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลแพ่งไปเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ที่ผ่านมา ในความผิดฐานละเมิด ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาและนัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่าย ในวันที่ 18 สิงหาคม เวลา 13.30 น.
ศาลตัดสินพันธมิตรเปิดถนน
ขณะเดียวกันอาจารย์โรงเรียนราชวินิตฯ ยังขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่อให้พันธมิตรฯ เปิดพื้นที่จราจรบนถนนพระราม 5 และถนนพิษณุโลก ให้รถยนต์และรถสาธารณะสามารถผ่านเข้าออกได้ งดการใช้เครื่องขยายเสียงในช่วงเวลา 07.30-16.30 น. วันจันทร์-ศุกร์ ห้ามการปราศรัยหยาบคาย และให้มีการกำจัดขยะปฏิกูลอย่างมีระบบระเบียบ
โดยในเวลา 14.00 น. วันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา ศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในคดีที่ครูและผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนราชวินิตมัธยม รวม 10 คนยื่นฟ้อง 5 แกนนำพันธมิตรฯ และ นายสุริยะใส กตะศิลา มีคำสั่งให้พันธมิตรฯ เปิดถนนบริเวณ พระราม 5 -ถนนพิษณุโลก ให้ประชาชนเดินผ่าน ไปมาได้โดยสะดวกและห้ามใช้เครื่องขยายเสียงซึ่งจะก่อความเดือดร้อนให้แก่ครู นักเรียน ในการเรียนการสอน ตั้งแต่วันจันทร์ - ศุกร์ ช่วงเวลา 07.30-16.30 น. โดยคำสั่งศาลให้มีผลโดยทันที
ครู-นักเรียน-ผู้ปกครองดีใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการคุ้มครองของศาลแพ่งได้สร้างความดีใจให้กับกลุ่มนักเรียนอย่างมาก โดยนักเรียนที่ไปร่วมฟังคำพิพากษาถึงกับยกมือขอบคุณที่ศาลให้ความกรุณา และขณะเดียวกันก็มีการส่งข่าวไปยังโรงเรียน ให้นักเรียนและครู ตลอดจนบุคลากรของโรงเรียนได้ร่วมกันดีใจ โดยผู้ปกครองรายหนึ่งเปิดเผยว่ารู้สึกสบายใจมากขึ้น เพราะลูกและเพื่อนนักเรียนจะได้เดินทางไปเรียนสะดวก และมีสมาธิในการเรียนมากขึ้น รวมทั้งไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอันตราย ที่อาจจะเกิดจากคนร้อยพ่อพันแม่ที่มาชุมนุมกันอยู่
อย่างไรก็ตาม นักเรียนขอร้องให้กลุ่มพันธมิตรฯ อย่าต่อว่า หรือโจมตีอาจารย์ และสมาคมผู้ปกครองที่ยื่นหนังสือต่อศาลให้มีเหตุต้องรื้อถอนเวที เพราะเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของนักเรียน ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง
ม็อบดื้อเมินฟังคำสั่งศาล
อย่างไรก็ดีท่าทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ตั้งแต่มีคำพิพากษาในช่วงบ่าย เรื่อยมาจนถึงค่ำวันเดียวกันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเคลื่อนย้ายเวทีแต่อย่างใด และยังเปิดการปราศรัยบนเวทีอย่างต่อเนื่อง
นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวภายหลังศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวว่า ในฐานะทนายความไม่เห็นด้วยกับคำสั่งคุ้มครองดังกล่าว และในวันที่ 1 ก.ค. เวลา 11.00 น. ตนจะนำแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คน ยื่นคำร้องขอไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว แม้ว่าคำสั่งศาลจะมีผลทันที แต่การดำเนินการต้องส่งคำสั่งไปตามภูมิลำเนาของจำเลยทั้ง 6 คนจึงทำให้คำสั่งยังไม่มีผลเป็นทางการ ทำให้ยังไม่เปิดเส้นทางการจราจร และยืนยันว่าจะชุมนุมต่อไป โดยจะรอฟังผลการยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลแพ่งก่อนที่จะมีการกำหนดท่าทีความเคลื่อนไหวอีกครั้ง
พธม.ควรหยุดตะแบงกฎหมาย
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกพรรคพลังประชาชน กล่าวว่าการที่พันธมิตรฯ ดื้อชุมนุมต่อก็เป็นสิทธิของพันธมิตรฯ แต่อย่าลืมว่าศาลได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนแล้ว ศาลได้อธิบายกฎหมายให้กับพวกที่ตีความกฎหมายโดยหลอกลวงมาโดยตลอด มักอ้างเสรีภาพในการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ ซึ่งข้อนี้แน่นอนว่ารัฐธรรมนูญประเทศไหนก็ต้องระบุไว้เช่นนั้น รธน. 50 ก็ระบุไว้เช่นกัน
แต่อีกข้อที่ทนายพันธมิตรฯ จะต้องไปศึกษาต่อ ก็คือกฎหมายได้เขียนข้อยกเว้นไว้ว่า โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในกรณีการชุมนุมสาธารณะ และเพื่อคุ้มครองความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ ซึ่งแปลว่าถ้าจะชุมนุมในที่สาธารณะจะทำได้ก็ต่อเมื่อ ไม่ได้ทำให้ประชาชนเดือดร้อน แต่ถ้ามีคนเดือดร้อนก็อ้างไม่ได้
เรื่องนี้พันธมิตรฯ จะไปขอใช้สถานที่จาก นายอภิรักษ์-ผู้ว่าฯ กทม. หรือจะคัดค้านว่าการชุมนุมไม่ได้ทำให้เด็กนักเรียนเดือดร้อนก็ว่ากันไป แต่เท่าที่ได้ยินมาจะมีการร้องเรียนว่าทนายความของฝ่ายโจทก์เป็นน้องชายของตนนั้น อันนี้ไม่เกี่ยวกัน
หากไม่ฟังศาลสั่งมีสิทธิ์ติดคุก
ส่วนข้อที่พันธมิตรฯอ้างว่าถ้าให้เปิดถนน ก็จะไม่ปลอดภัยต่อผู้ชุมนุมนั้น ก็เป็นเรื่องที่ศาลวินิจฉัยไปแล้วว่าการชุมนุมทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ถ้าพันธมิตรฯ มีเหตุผลดีๆ ก็คงต้องไปชี้แจงต่อศาลเอาเองเพราะตอนนี้ไม่ใช่เรื่องของโจทก์แล้ว แต่เป็นเรื่องของจำเลยกับศาล
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้คือประชาชนได้รู้ว่า ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน ฝากถึงกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยว่า วันนี้ศาลได้เข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยแล้ว ให้ลดทิฐิมานะลงมาบ้าง และไปหาทางออกอย่างอื่น เพราะถึงอย่างไร หากพันธมิตรฯ จะไม่ยอมปฏิบัติตาม โจทก์ก็คงไม่สามารถบีบบังคับอะไรได้ จะทำได้ก็แค่บันทึกแจ้งกลับไปต่อศาลว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ซึ่งศาลก็มีสิทธิจะเรียกจำเลยทั้ง 6 คน มาพบ หากไม่ปฏิบัติตามก็มีสิทธิออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่รื้อถอน หรือไม่ก็มีสิทธิสั่งขังจำเลยทั้ง 6 คน
อย่าลืมว่า ศาลตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธย ประชาชนก็กำลังจับตามองทั้งประเทศ จึงอยากฝากให้แกนนำพันธมิตรฯ คิดให้ดี
อยากให้เคารพวินิจฉัยศาล
ทางด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ารัฐบาลอยากให้ทุกฝ่ายเคารพในกระบวนการยุติธรรมและการพิจารณาวินิจฉัยของศาล เพื่อให้เป็นรูปธรรมชัดเจนว่าบ้านเมืองนี้เป็นนิติรัฐ ทุกคน ทุกฝ่ายไม่ว่า มวลชน ประชาชนที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยย่อมได้รับความคุ้มครองภายใต้หลักกฎหมาย รัฐบาลยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นดุลพินิจของศาลโดยที่ทุกสิ่งทุกอย่างจากนี้รัฐบาลไม่มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องหรือเข้าไปดำเนินการใดๆ ในทุกขั้นตอนหลังจากนี้แกนนำพันธมิตรจะได้สรุปและปฏิบัติตามคำสั่งของศาล
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้เวทีของกลุ่มพันธมิตรตั้งอย่างถาวรอยู่กลางถนนพิษณุโลกจึงอยากให้กลุ่มพันธมิตรพิจารณาว่าเมื่อศาลสั่งให้มีการเปิดการจราจร หมายถึงการรื้อถอนเวทีหรือไม่อย่างไร ทั้งนี้ทั้งนั้นการตัดสินใจของพันธมิตรรัฐบาลไม่เข้าไปแทรกแซงหรือกดดัน ขอให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด
รัฐบาลไม่คิดประกาศชัยชนะ
นอกจากนี้ยืนยันเหมือนเดิมว่าหากกลุ่มพันธมิตรฯ ยอมรับและทำตามคำสั่งของศาล ถือว่าเป็นเรื่องปกตินิสัยของคนไทยที่ปฏิบัติภายใต้กฎหมาย หากกลุ่มพันธมิตรฯ ยื่นคัดค้านหรืออุทธรณ์ก็เป็นสิทธิตามกฎหมาย แต่หากไม่ดำเนินการตามคำสั่งของศาลรัฐบาลคงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง ยังคงยืนยันว่าจนถึงขณะนี้และตลอดไปในการเคลื่อนไหวของพันธมิตรรัฐบาลไม่มีนโยบายใช้กำลังสลายการชุมนุม
“การมีคำสั่งศาลออกมาอย่างนี้รัฐบาลคงไม่ประกาศชัยชนะและเชื่อว่าโรงเรียนราชวินิตมัธยมจะไม่มีการประกาศชัยชนะด้วย เพราะไม่ใช่ชัยชนะของใคร แต่เป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติตามกฎหมายที่จะเป็นแบบอย่างแนวทางให้คนในสังคมที่รู้สึกว่าถูกละเมิดสิทธิ ก็มีช่องทางเคลื่อนไหวต่อสู้ทางกระบวนการของกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของตัวเอง
รัฐบาลไม่ได้ปฏิเสธการชุมนุมโดยสงบ สันติและปราศจากอาวุธ แต่รัฐบาลเรียกร้องแต่ต้นให้กลุ่มพันธมิตรฯ ไปชุมนุมในที่เหมาะสมกว่าการปิดถนน”
ตำรวจเชื่อพันธมิตรจะฟังศาล
พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รอง ผบช.ก. ในฐานะ รองโฆษก ตร. กล่าวว่าเรื่องนี้เป็นคดีระหว่างเอกชนกับเอกชน เจ้าพนักงานบังคับคดีจะเป็นผู้ดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่งศาลแพ่ง หากกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ทำตามคำสั่งศาลเจ้าพนักงานบังคับคดีสามารถขอให้ตำรวจช่วยดำเนินการได้ เพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งศาล
อย่างไรก็ตามคิดว่าแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ น่าจะปฏิบัติตามคำสั่งศาลแพ่ง แต่ขณะนี้ทางตำรวจยังไม่ได้มีการพูดคุยกับแกนนำในเรื่องนี้ โดยเบื้องต้นเพียงได้รับการประสานงานจากแกนนำว่าขณะนี้ยังไม่ได้รับคำสั่งศาลอย่างเป็นทางการ
เพิ่มตร.ห่วงย้ายเวทีเข้าทำเนียบ
ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เรียกประชุมด่วนผู้บังคับการตำรวจนครบาล ที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ หลังศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน โดยผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า การประชุมวันนี้เพื่อเตรียมเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจรับมือกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะเกรงว่าผู้ชุมนุมอาจจะย้ายเวทีเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งต้องจัดกำลังรับมือไว้ด้วย
ด้านพล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่าผู้ชุมนุมต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่ให้กลุ่มพันธมิตรฯ เปิดเส้นทางการจราจรบริเวณ ถ.พิษณุโลก และ ถ.พระราม 5 แต่หากไม่ปฏิบัติผู้เสียหายจะต้องไปร้องต่อศาล เพื่อพิจารณาออกหมายจับ ส่วนตำรวจก็ไม่สามารถเข้าไปรื้อถอนได้