หากใครสังเกตุให้ดี ตอนนี้ม็อบพันธมิตรที่อยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล ประกาศเรียกระดมแนวร่วมโดยใช้ดาราดัง นักร้องดัง เป็นตัวเรียกมวลชน แทนที่จะใช้ประเด็นทางการเมืองในการเรียกระดมมวลชนเข้าสนับสนุนการเคลื่อนไหวกดดันทางการเมืองของตน
เมื่อเป็นอย่างนี้ แสดงว่า “ม็อบพันธมิตร” หมดคุณค่าทางยุทธการไปแล้ว
ดังนั้น เราอาจประเมิน และวิเคราะห์ฝ่ายตรงข้ามจากข่าวสารชิ้นเล็กๆ นี้ได้ ว่ามันมีนัยยะสำคัญอย่างไรต่อการเคลื่อนไหว แสะสถานภาพของกลุ่มพันธมิตรในขณะนี้ ผมประเมินได้ว่า เมื่อกลุ่มพันธมิตรใช้วิธีนี้ ระดมมวลชนสนับสนุน หมายความว่า คนกลุ่มนี้กำลังหมดมุกที่จะระดมคนได้แล้ว ก็เลยใช้กลวิธีใหม่คือ การใช้ดาราดัง เป็นตัวดึงให้มวลชนเข้าไปร่วม ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ จริง แสดงว่า "เงื่อนไขทางการเมือง" ไม่สามารถดึงคนเข้าไปเป็นแนวร่วมได้แล้ว เลยใช้ประเด็นอื่นเข้ามาดึงคน เช่น ใช้ดารา ใช้ดนตรี
หากเป็นอย่างนี้ ม็อบนี้ก็ไม่ใช่ "ม็อบทางการเมือง" ที่อันตรายต่อไปอีกแล้ว แสดงว่าเงื่อนไขทางการเมืองได้ลดระดับความสำคัญลงไปแล้ว
ผมพยายามนึกคำนี้มาหลายวันแล้ว ในการอธิบายความไร้พิษสงของม็อบพันธมิตรในตอนนี้ สิ่งที่ไร้ความหมายในการต่อสู้ เราเรียกในภาษาทหารว่า "หมดคุณค่าทางยุทธการ" ตัวอย่างเช่น ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง "เรือประจัญบาน" ขนาดใหญ่ เช่น ยามาโมโต้ ของกองท้พจักรพรรดินาวีญี่ปุ่น ที่มีป้อมปืนขนาด 16 นิ้ว จำนวนหลายป้อม" มีอานุภาพอันน่าเกรงขาม เรียกว่าประเทศใดมีเรือรบขนาดนี้ไว้ใช้ในกองทัพเรือขของตน ก็จะมีแสนยานุภาพอันเกรียงไกรเป็นที่น่าเกรงขามเลยทีเดียว ต่อมามีการพัฒนาเครื่องบินทางทะเลขึ้น เรือ "ประจัญบานขนาดยักษ์" เลยกลายเป็น "เป็ดลอยน้ำ" เป็นเป้านิ่งให้เครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิด เหมือนที่เราเห็นในภาพยนต์สงครามทั้งหลาย ออกทะเลก็มีหวังโดนเครื่องบินรุมกินโต๊ะ จมลงเป็นผีเฝ้าทะเลเหมือนเรือยามาโมโต้อย่างแน่นอน ตั้งแต่นั้นมา "เรือประจัญบานขนาดใหญ่" ก็หมดคุณค่าทางยุทธการไป เอาออกทะเล ก็ใช้รบไม่ได้ และต้นทุนการปฎิบัติการก็มหาศาล แต่คุณค่าต่อชัยชนะมีน้อยเต็มที
ตอนนี้ ม็อบพันธมิตร ในทางการเมืองแล้ว ถือว่า "หมดคุณค่าทางยุทธการอย่างสิ้นเชิง" เพราะเมื่อทหารไม่ทำรัฐประหาร ม็อบนี้ก็ไม่มีความหมายแต่อย่างใด เพราะม็อบล้มรัฐบาลไม่ได้
เมื่อหมดคุณค่า การคงม็อบไว้ ก็ไม่ได้คุกคามต่อรัฐบาลแต่อย่างใด แต่ "สร้างต้นทุนมหาศาล" ให้แก่ "เจ้าของม็อบ" เพราะต้องเลี้ยงดู ต้องมีค่าใช้จ่าย มากมายพอสมควร
และที่สำคัญ ต้องทะเลาะกับคนในสังคม ทั้งครู นักเรียน คนขับรถ คนทำงานต่างๆ วุ่นวายไปหมด ยิ่งคงไว้ ยิ่งสร้างภาระ รวมทั้งทำลายความน่าเชื่อถือของ "เจ้าของม็อบลงอย่างสิ้นเชิง"
เมื่อเป็นอย่างนี้ หากผมเป็นรัฐบาล ผมก็จะพยายามให้ศัตรู ติดกับดัก และตกหล่มของตัวเองต่อไป เมื่อมีทีท่าจะโรยรา ผมก็จะหาเรื่องให้ม็อบนี้คึกคักขึ้นอีก เช่น บอกว่าจะสลายม็อบ พวกนี้ก็จะตีฆ้องร้องเป่า คึกคักขึ้นมาอีกพักหนึ่ง แต่รัฐบาลไม่ได้สลายม็อบจริง รัฐบาลแค่พูด แต่ม็อบต้องเสียเงินมากมายในการระดมคนมา สุดท้ายก็เหนื่อยตายไปเอง
การปล่อยให้ศัตรูอยู่ในสภาพนี้ ถือเป็นการบั่นทอนกำลัง ทรัพยากร ขวัญและกำลังใจของศัตรูในระยยาว เมื่อสถานการณ์สุกงอมแล้ว การปลุกระดมม็อบของห้าพันธมิตรก็จะไม่ได้ผลอีกต่อไป
นี่คือวิธีการกวาดล้างม็อบที่ถาวรที่สุดครับ
ไม่มีอะไร สนุกเท่ากับการเห็นคนบ้าเล่นอยู่กลางถนน ถอยก็ไม่ได้ เดินหน้าก็ไม่ออก รุกก็ไม่ไป ปักหลักอยู่ก็เหนื่อยและเจ๊งตาย อิหลักอิเหรื่อ น่าสมเพชเวทนายิ่งนัก
อย่าเพิ่งเลิกนะครับ พล.ต.จำลอง 555 สู้ต่อไป สู้จนหายนะ ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง
อาวุธที่หมดคุณค่าทางยุทธการนั้น ศัตรูเขาไม่กลัวหรอกครับ แต่ท่านจะเหน็ดเหนื่อยบั่นทอนกำลังและสติปัญญามากมายทีเดียว ศัตรูสดชื่นแต่ท่านเหนื่อยล้า
นายกฯ สมัคร นอนสบายในห้องแอ ทำอาหารอร่อยๆ ของท่านไป แต่ท่าน พล.ต. จำลอง ต้องนอนกลางถนน ตากแดดตากลม ทนร้อน ทนฝน ตอนนี้ฝ่ายรัฐบาลประเมินค่า ของท่านได้แล้ว เขาไม่สนใจแรงกดดันของท่านแล้ว ตัว พล.ต.จำลองเอง ก็กลายเป็น "สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์" ไป
การก่อความวุ่นวายแก่บ้านเมืองครั้งนี้ "สันติอโศก" ได้ใช้ “ต้นทุนทางสังคม” ของตนเองไปจนหมดสิ้น ท่านวางยุทธศาสตร์ จนสันติอโศกกลายเป็นศัตรูของสังคม เป็นลัทธิอันตราย ที่ใครๆ ก็ไม่อยากคบหา ไม่อยากข้องแวะ ในที่สุดไม่ถึง 20 ปี เมื่อท่านและ โพธิรักษ์ตายไป สันติอโศก ลัทธิอันตรายของสังคมไทย ก็ถึงคราวดับสูญแน่นอน
เดินหมากสุ่มเสี่ยง ตายเป็นตายแบบนี้ สุดท้ายก็ตายจริงๆ
การต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่ สงครามระหว่างคนต่างชาติต่างภาษา การจะห้ำหั่น ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมีทางถอยนั้นมันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในสังคมการเมืองของทุกประเทศ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างมีประชาชนเป็นฐานสนับสนุน เมื่อมีประชาชนสนับสนุน การหวังรุกฆาตทำลายล้าง กำจัดเขาออกไปจึงไม่อาจเป็นไปได้อย่างแน่นอน
ผู้เชี่ยวชาญการทหาร อาจเป็นคนโง่ในทางการเมือง คนจบจากโรงเรียนเสนาธิการทหาร อาจเป็นคนโง่ทางการเมือง
555 ตอนนี้ไม่ว่าจะลงอย่างไร ท่านก็เป็นผู้แพ้อย่างแน่นอน
ที่จริง วิกฤตการณ์ทางการเมืองสองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ (ผมว่าไม่ค่อยวิกฤตเท่าไหร่) ทำให้เราสามารถประเมินกำลังของพวก "อำมาตยาธิปไตย" ได้อย่างดี เช่น
1. ทหารไม่ออกมาทำรัฐประหารอีก แสดงว่า "เครื่องมือทางการเมือง" ชิ้นนี้ "ถูกถอดฉนวน" ไปแล้ว หมดสภาพการใช้งานทางการเมือง ไม่เป็นพลังกดดันฝ่ายประชาธิปไตยอีกต่อไป
2. ทำให้คนเรียนรู้ว่า แม้ม็อบจะยึดถนนหน้าทำเนียบได้ หรือแม้แต่ยึดทำเนียบก็ตาม ก็ไม่ส่งผลต่อสถานภาพของรัฐบาลแต่อย่างใด
3. การเมือง เมื่อถูกดึงเข้าสู่สภา "จำนวนมือ สส." จะเป็นตัวแปรสำคัญ
ดังนั้น ทำให้เราประเมินได้ว่า กำลังของพวกอำมาตย์ตอนนี้ เหลือเครื่องมืออีกเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น คือ พวก “ตุลาการวิวัฒน์” ทั้งหลาย
แต่ตุลาการวิวัฒน์ ก็ใช้ได้ไม่สะเด็ดน้ำ และเสี่ยงต่อความไม่พอใจของประชาชนมาก นำไปสู่ความเสื่อมของวงการตุลการเอง ตุลาการอาจพิพากษาจำคุกนายกฯ สมัคร ได้ในคดีซื้อรถดับเพลิง ซึ่งทำให้ต้องออกจากนายกฯ หรือตุลการอาจมัดมือมัดเท้ารัฐบาลแบบศาลปกครอง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกอำมาตย์ ได้อำนาจทางการเมืองแต่อย่างใด
ล้มนายกฯ สมัครได้ พรรค พปช. ก็ยังคุมเสียงข้างมากในสภาอยู่ และมีคนอื่นจ่อคิวเป็นนายกฯได้อยู่ หรือแม้แต่จะยุบ พปช. ได้ก็จะมีพรรคชื่ออื่นเกิดขึ้นสืบทอดต่อไป
แต่วงการตุลาการจะเสื่อมความศรัทธาลง และจะได้รับการตอบโต้จากผู้เลือกตั้ง และอาจโดน "ปฎิรูปอย่างรุนแรง" ในอนาคต
ลางแพ้ของพวกอำมาตย์นั้น ใครก็มองเห็นได้ แต่มันขึ้นกับเงื่อนไขของเวลาเท่านั้น
พวกนี้ เปรียบเสมือน พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว