คอลัมน์ : รายงานพิเศษ
บอลยูโร 2008 ปิดฉากด้วยชัยชนะอย่างสง่างามของแชมป์ใหม่ “กระทิงดุ” สเปน
วันเดียวกับการ “ปิดฉาก” ของลูกรัก (ที่ถูกลืม) ของ คมช. นั่นคือ คตส. หรือ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ
คนเชียร์บอลเฮ คอการเมืองก็เฮ เพราะในที่สุด ผลผลิตการรัฐประหารอีกชิ้นก็หมดวาระไปตามกาล เหลือไว้เพียงร่องรอยความวุ่นวายและตราบาปว่า ครั้งหนึ่งสังคมการเมืองไทยเคยถูกทำลายหลักการประชาธิปไตยลงอย่างไร
จะมีก็แต่ คตส. นั่นแหละ ที่ไม่รู้ตัวเลยว่า บัลลังก์ที่ตัวเองถูกสมมติให้นั่ง มันเต็มไปด้วยความสกปรก ไร้ศักดิ์ศรี และจะกลายเป็นที่จดจำในทางเสื่อมว่า คนที่เคยรองรับการกระทำไม่ชอบ และยังเข้าไปรับใช้คณะรัฐประหารนั้นมีใครบ้าง
คนมีสติสำนึกดีอาจอยากเอาปี๊บคลุมหัวด้วยความละอายแทนด้วยซ้ำ ไม่ใช่หน้าชื่นตาบาน หรือปั้นหน้าเศร้าเหมือนนางเอกละครหลังข่าวถูกรังแกอย่างที่ คตส. บางคนทำอยู่
การถูกเมินเฉยจากอดีต คมช. แม้อุตส่าห์ต่อสายตรงเข้าหานั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่า คมช. ก็ตระหนักดีว่า การเมืองมีสัจธรรม วันหนึ่งเคยเข้ามายึดอำนาจอย่างหาความชอบธรรมไม่ได้ อีกวันก็ต้องถอยไปอย่างยอมรับและสงบเสงี่ยม ที่สำคัญ ต่อให้อยากเถลิงอำนาจต่อเนื่องสักแค่ไหน แต่ก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะบ้านเมืองมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้วเรียบร้อย คมช. ไม่มีสิทธิ์จะคุ้มครองหรือแทรกแซงการดำเนินงานของใคร
มองในแง่นี้ คมช. จึงนับเป็น “สุภาพบุรุษ” ที่รู้กาละรู้สถานที่ และสะท้อนว่าห้วงเวลาของการยึดอำนาจนั้น ไม่ว่าจะคิดผิดหรือถูก แต่ก็เป็นไปด้วยความจำใจบางประการ หาใช่ความบ้าอำนาจที่แฝงฝังอยู่ในกมลสันดานอย่างใดไม่
เมื่อหมดวาระอำนาจ ก็ต้องถอยคืนให้คนที่เขามาอย่างถูกครรลองคลองธรรม ในใจไม่มีใครรู้ แต่ในทางหลักการที่แสดงออกก็เป็นเช่นนั้น
จะมีก็แต่ตัวที่ฟักออกจากไข่เขามาอีกทีอย่าง คตส. เท่านั้น ที่ดูเหมือนว่าจะสวมใส่อำนาจนั้นเข้าเป็นของตัวเองอย่างสำคัญผิดว่าเป็นของแท้ หลงลืมที่มาของตัวเองเสียสิ้นว่ามาได้เพียงเพราะ “การเมือง” และ “อำนาจมืด” ไม่ได้เข้ามาด้วยความสง่างามปูพรมแดงแต่อย่างใด
ที่สำคัญ เพราะเข้ามาด้วยเป้าหมายเฉพาะกิจ หากเมื่อภารกิจนั้นมันจบ (คือ คมช. หมดอายุ) ตัวเองที่เป็นได้แค่ลิ่วล้อจากการแต่งตั้งของเขาก็ต้อง “จบ...” ไปด้วย
แต่เอาเถอะ...เมื่อว่ากันตาม “ประกาศ คปค.” ที่แต่งตั้งและยังยืดอายุการทำงานให้ คตส. ก็ถือว่า “แล้วไป...” หากจะยืนยันทำหน้าที่ที่ได้เคยประกาศเอาไว้...
แต่...ย่อมอยู่บนสติสำนึกได้ว่าตัวเอง “เป็นใคร” และขอบเขตอำนาจคืออะไร
แต่ที่ผ่านมาเรากลับไม่ได้เห็น คตส. รู้สึกสำนึกตัวตน แล้วยัง “กร่าง” เสมอหนึ่งว่าตัวเองได้รับฉันทามติมาจากคนทั้งประเทศ (ซึ่งแม้แต่รัฐบาลก็ยังสำคัญตัวเช่นนั้นไม่ได้) อะไรที่ขลุกขลักก็ตีความว่านั่นคือการขัดขวาง ทำราวกับตัวเองคือ “คนดี” ที่ถูก “คนชั่ว” จ้องเล่นงานอยู่เสมอ
แม้กระทั่งในวันที่จะหลุดจาก “บัลลังก์ก้อนเมฆ” ก็ยังใช้งบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน ป่าวประกาศในโทรทัศน์ จัดงานส่งท้ายกันอย่างไม่เห็นท่าทีละอาย
โมหจริต ที่แปลว่า ความโง่ ความเขลา ความหลง...มันหน้าตาเป็นอย่างไร ก็เพิ่งเข้าใจวันนี้
วันที่ได้เห็นคนโง่เขลาหลงเงาตัวเอง และคิดว่าเงาสะท้อนน้ำอยู่นั้นคือราชสีห์...
ทั้งที่ความจริง ก็เป็นได้แค่สุนัขรับใช้ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
บอลยูโร 2008 ปิดฉากด้วยชัยชนะอย่างสง่างามของแชมป์ใหม่ “กระทิงดุ” สเปน
วันเดียวกับการ “ปิดฉาก” ของลูกรัก (ที่ถูกลืม) ของ คมช. นั่นคือ คตส. หรือ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ
คนเชียร์บอลเฮ คอการเมืองก็เฮ เพราะในที่สุด ผลผลิตการรัฐประหารอีกชิ้นก็หมดวาระไปตามกาล เหลือไว้เพียงร่องรอยความวุ่นวายและตราบาปว่า ครั้งหนึ่งสังคมการเมืองไทยเคยถูกทำลายหลักการประชาธิปไตยลงอย่างไร
จะมีก็แต่ คตส. นั่นแหละ ที่ไม่รู้ตัวเลยว่า บัลลังก์ที่ตัวเองถูกสมมติให้นั่ง มันเต็มไปด้วยความสกปรก ไร้ศักดิ์ศรี และจะกลายเป็นที่จดจำในทางเสื่อมว่า คนที่เคยรองรับการกระทำไม่ชอบ และยังเข้าไปรับใช้คณะรัฐประหารนั้นมีใครบ้าง
คนมีสติสำนึกดีอาจอยากเอาปี๊บคลุมหัวด้วยความละอายแทนด้วยซ้ำ ไม่ใช่หน้าชื่นตาบาน หรือปั้นหน้าเศร้าเหมือนนางเอกละครหลังข่าวถูกรังแกอย่างที่ คตส. บางคนทำอยู่
การถูกเมินเฉยจากอดีต คมช. แม้อุตส่าห์ต่อสายตรงเข้าหานั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่า คมช. ก็ตระหนักดีว่า การเมืองมีสัจธรรม วันหนึ่งเคยเข้ามายึดอำนาจอย่างหาความชอบธรรมไม่ได้ อีกวันก็ต้องถอยไปอย่างยอมรับและสงบเสงี่ยม ที่สำคัญ ต่อให้อยากเถลิงอำนาจต่อเนื่องสักแค่ไหน แต่ก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะบ้านเมืองมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้วเรียบร้อย คมช. ไม่มีสิทธิ์จะคุ้มครองหรือแทรกแซงการดำเนินงานของใคร
มองในแง่นี้ คมช. จึงนับเป็น “สุภาพบุรุษ” ที่รู้กาละรู้สถานที่ และสะท้อนว่าห้วงเวลาของการยึดอำนาจนั้น ไม่ว่าจะคิดผิดหรือถูก แต่ก็เป็นไปด้วยความจำใจบางประการ หาใช่ความบ้าอำนาจที่แฝงฝังอยู่ในกมลสันดานอย่างใดไม่
เมื่อหมดวาระอำนาจ ก็ต้องถอยคืนให้คนที่เขามาอย่างถูกครรลองคลองธรรม ในใจไม่มีใครรู้ แต่ในทางหลักการที่แสดงออกก็เป็นเช่นนั้น
จะมีก็แต่ตัวที่ฟักออกจากไข่เขามาอีกทีอย่าง คตส. เท่านั้น ที่ดูเหมือนว่าจะสวมใส่อำนาจนั้นเข้าเป็นของตัวเองอย่างสำคัญผิดว่าเป็นของแท้ หลงลืมที่มาของตัวเองเสียสิ้นว่ามาได้เพียงเพราะ “การเมือง” และ “อำนาจมืด” ไม่ได้เข้ามาด้วยความสง่างามปูพรมแดงแต่อย่างใด
ที่สำคัญ เพราะเข้ามาด้วยเป้าหมายเฉพาะกิจ หากเมื่อภารกิจนั้นมันจบ (คือ คมช. หมดอายุ) ตัวเองที่เป็นได้แค่ลิ่วล้อจากการแต่งตั้งของเขาก็ต้อง “จบ...” ไปด้วย
แต่เอาเถอะ...เมื่อว่ากันตาม “ประกาศ คปค.” ที่แต่งตั้งและยังยืดอายุการทำงานให้ คตส. ก็ถือว่า “แล้วไป...” หากจะยืนยันทำหน้าที่ที่ได้เคยประกาศเอาไว้...
แต่...ย่อมอยู่บนสติสำนึกได้ว่าตัวเอง “เป็นใคร” และขอบเขตอำนาจคืออะไร
แต่ที่ผ่านมาเรากลับไม่ได้เห็น คตส. รู้สึกสำนึกตัวตน แล้วยัง “กร่าง” เสมอหนึ่งว่าตัวเองได้รับฉันทามติมาจากคนทั้งประเทศ (ซึ่งแม้แต่รัฐบาลก็ยังสำคัญตัวเช่นนั้นไม่ได้) อะไรที่ขลุกขลักก็ตีความว่านั่นคือการขัดขวาง ทำราวกับตัวเองคือ “คนดี” ที่ถูก “คนชั่ว” จ้องเล่นงานอยู่เสมอ
แม้กระทั่งในวันที่จะหลุดจาก “บัลลังก์ก้อนเมฆ” ก็ยังใช้งบประมาณที่มาจากภาษีประชาชน ป่าวประกาศในโทรทัศน์ จัดงานส่งท้ายกันอย่างไม่เห็นท่าทีละอาย
โมหจริต ที่แปลว่า ความโง่ ความเขลา ความหลง...มันหน้าตาเป็นอย่างไร ก็เพิ่งเข้าใจวันนี้
วันที่ได้เห็นคนโง่เขลาหลงเงาตัวเอง และคิดว่าเงาสะท้อนน้ำอยู่นั้นคือราชสีห์...
ทั้งที่ความจริง ก็เป็นได้แค่สุนัขรับใช้ตัวหนึ่งเท่านั้นเอง