คอลัมน์: ละครชีวิต
ถ่อย คือ อาการของสาวกม็อบพันธมิตรฯ ที่มีพรรคการเมืองให้ท้าย หนุนหลัง ใช้กฎหมู่ข่มขู่ผู้รักษากฎหมาย ที่ จ.กระบี่
ลีลาการโห่ ฮาป่า และทุบรถ ทั้งที่สนามบินและที่หน้าโรงแรมมาริไทม์ปาร์คแอนด์สปารีสอร์ท จ.กระบี่ ของ พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส. และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ จนกระทั่ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ต้องเลือกวิธีที่จะหลบเลี่ยงไม่เผชิญหน้า ไม่สามารถเข้าแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้แก่ประชาชน อาจจะ นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเหล่าสาวกม็อบพันธมิตรฯ และพรรคการเมือง ที่ให้ท้ายหนุนหลัง ตลอดจนสื่อมวลชนบางฉบับบางราย ที่สนับสนุนการใช้กฎหมู่ ไม่ยอมรับกฎหมาย
“รัฐมนตรีหนีม็อบ” หรือ “ม็อบชนะ รัฐมนตรีแพ้” คืออารมณ์ของข่าวที่แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ยกย่องวีรกรรมของบรรดาผู้ใช้กฎหมู่ และซ้ำเติมผู้รักษากฎหมาย การหลบเลี่ยง ไม่เผชิญหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาความรุนแรง กลายเป็นการหลบหนี ไม่กล้าสู้หน้า เพราะเกรงกลัวต่ออำนาจ (ถ่อย) ของประชาชน
จะเป็นม็อบชนะหรือรัฐมนตรีแพ้ หรือรัฐมนตรีชนะที่ไม่หลงไปกับเกมยั่วยุให้เกิดการปะทะของผู้อยู่เบื้องหลัง ชักใยม็อบ ก็ตามที แต่ที่แพ้แน่ๆ คือ ประเทศไทยที่เสียหายไปแล้วในสายตาของชาวโลก และประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่รอการแก้ไขปัญหาจากเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ต้องสูญเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
ในสายตาของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของชาวโลก ทั้งนักท่องเที่ยวที่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตัวเอง และที่ได้รับชมเหตุการณ์ผ่านจอโทรทัศน์ที่เผยแพร่ไปทั่วโลกนั้น ต้องบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหน้าโรงแรมของผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์รายนั้น เป็นรอยด่าง เป็นความสกปรกของการเมืองระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทย ที่น่าหวาดหวั่นครั่นคร้ามใจยิ่งนัก
ต่อไปนี้ ผู้บริหารประเทศ ตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี จะเดินทางไปปฏิบัติราชการในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ หรือในเขตอิทธิพลของพรรคการเมืองที่ให้ท้ายหนุนหลังม็อบพันธมิตรฯ จะต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง และจะต้องหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับม็อบพันธมิตรฯ ที่ไม่รู้ว่าจะมาก น้อย หนัก เบา ถ่อย เถื่อน ตามกฎเกณฑ์กลไกอันใดเป็นเครื่องชี้กำหนดให้ลงมือกระทำ
โอกาสของประชาชนในเขตอิทธิพลของพรรคการเมืองนั้น ที่จะได้รับการเยียวยาแก้ไขปัญหาจากผู้บริหารประเทศจะต้องสูญเสียไป โอกาสที่จะได้รับการพัฒนา ได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องตรงกับความต้องการของประชาชน จะลดน้อยลงไปอย่างมาก หากว่าบรรยากาศเช่นที่ จ.กระบี่ ยังคงดำรงอยู่ และทวีความเข้มข้นเพิ่มขึ้น ตามกำลังอัดฉีดของพรรคการเมืองหนึ่งที่ชักใยอยู่ข้างหลัง เพราะรัฐมนตรีไม่มีโอกาสได้ลงพื้นที่สัมผัสปัญหาของประชาชนด้วยตนเอง
การปิดล้อมโรงแรมมาริไทม์ปาร์คฯ จ.กระบี่ กดดันคณะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ตั้งใจลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหา จนต้องเดินทางกลับกระทรวง เพราะไม่สามารถปฏิบัติงานได้ ไม่แตกต่างจากการที่กลุ่มมวลชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปิดถนนไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ เข้าไปทำงานในเขตอิทธิพลของผู้ก่อการร้าย ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า มวลชนที่ออกมาปิดถนนนั้น เป็นมวลชนที่ได้รับการว่าจ้างชักจูงและข่มขู่จากผู้ก่อการร้าย ที่อยู่เบื้องหลังนั่นเอง
ที่น่าประหลาดใจก็คือ จนถึงขณะนี้ พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส. และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นทั้งเจ้าของพื้นที่ และเป็นเจ้าของโรงแรม ยังไม่ได้ออกมาแสดงความเสียใจ ไม่ได้ออกมาขอโทษต่อการกระทำของประชาชนที่หน้าโรงแรมของตนเอง
ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับการกระทำถ่อยๆ ที่หน้าโรงแรมของตัวเองหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ต้องคำนึงถึงว่า คณะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นลูกค้าของโรงแรม เป็นผู้ใช้บริการ ที่โรงแรมต้องจัดบริการที่ดีที่สุดให้ ไม่ใช่ปล่อยให้มีการรบกวนกันเช่นนี้
เมื่อมองในภาพใหญ่ถึงพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นเจ้าของพื้นที่ จ.กระบี่ มี ส.ส. ครบทุกเขต เป็นตัวแทนของชาวกระบี่ ก็หาได้มีสำนึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ กลับพูดจาให้ท้าย ส่งเสริม ยุยง และเห็นดีเห็นชอบปรากฏการณ์ที่มีผู้จัดทำให้เกิดขึ้น ทั้งมีความสุขกับการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่สามารถเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาให้แก่ประชาชนได้
เหนือไปกว่านั้น ผมกำลังมองเห็นว่า ผู้บริหารบางคนของพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะกำลังสุขใจด้วยซ้ำไป ที่ประชาชนในประเทศนี้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย แตกเป็นสองเสี่ยงอย่างชัดเจน และไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไป แต่ไม่อาจจะคาดเดาได้ว่า เพราะเหตุใดจึงสุขใจกับการที่กฎหมายยอมหลบให้กับกฎหมู่ เมื่อคืนวันพุธต่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
เถื่อน หมายถึง การไม่ยอมรับกฎหมาย ไม่ยอมรับคำสั่งศาล และขัดคำสั่งศาล ซึ่งเป็นสถาบันที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เป็นวันที่ 4 ติดต่อกันแล้ว ที่แกนนำม็อบพันธมิตรฯ ปฏิบัติการท้าทายอำนาจศาล ขัดคำสั่งศาล โดยไม่สนใจ ไม่เกรงกลัวต่อบทลงโทษตามที่กฎหมายกำหนด เวทีม็อบพันธมิตรฯ ยังตั้งอยู่บนถนนพิษณุโลก และถนนพระราม 5 ยังคงถูกปิดการจราจร ตั้งแต่เวลา 16.31-07.29 น. ทั้งๆ ที่ศาลสั่งให้เปิดการจราจรตามปกติ โดยไม่ได้กำหนดเวลาให้แกนนำม็อบพันธมิตรฯ เป็นผู้มีอำนาจสั่งปิด-เปิดถนนตามอำเภอใจ
เป็นวันที่ 4 แล้ว ที่คณะครู นักเรียน โรงเรียนราชวินิต ซึ่งเป็นผู้ได้รับการคุ้มครองตามคำสั่งศาล ต้องถูกผู้ขัดคำสั่งศาล และบริวาร สาวก ข่มขู่ คุกคาม ด่าทอ ละเมิดสิทธิซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งบนเวทีพันธมิตรฯ และในเครือข่ายสื่อสารมวลชนที่เป็นของแกนนำม็อบพันธมิตรฯ โดยที่ไม่มีใครจะช่วยเหลือปกป้องคณะครูและนักเรียนเหล่านั้นได้
องค์กรเถื่อน ที่ไม่ยอมรับกฎหมาย แต่ฝักใฝ่ในกฎหมู่ เชื่อในการปลุกระดมมวลชนเพื่อโค่นล้มทุกสถาบัน ทุกองค์กรที่ไม่ทำตามคำสั่ง ไม่ทำดังใจตนเอง เช่น ม็อบพันธมิตรฯ นี้ หากปล่อยไว้ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป โดยที่กระบวนการทางกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ตำรวจ อัยการ ศาล กรมบังคับคดี ไม่สามารถจะกำราบให้ยอมรับความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายได้
เชื่อเถอะว่า ไม่ช้านานจากนี้ไป สังคมไทยจะเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่ทั้งถ่อยและเถื่อน แพร่กระจายขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว และกฎหมู่จะอยู่เหนือกฎหมายตลอดกาล
กฎหมายจะกลายเป็นเศษกระดาษเปื้อนหมึก ศาลจะกลายเป็นเวทีโต้วาทีของคู่กรณี ที่ต่างไม่ยอมรับคำตัดสินอันเป็นที่ยุติด้วยธรรม
ถึงวันนั้น สังคมไทยจะแตกสลายกลายเป็นเสี่ยงๆ หลายๆ ก๊ก ที่ต่างกำหนดกฎเกณฑ์ของตนเอง ไม่ยอมรับกฎกติกาของส่วนรวม
วันนี้ องค์กรถ่อยและเถื่อนอย่างม็อบพันธมิตรฯ หมดความชอบธรรมที่จะอ้างว่าทำทุกอย่างเพื่อปกป้องราชบัลลังก์ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ให้ถูกลบหลู่ดูหมิ่น อย่างที่ คำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา สายม็อบพันธมิตรฯ แอบอ้าง อีกครั้งหนึ่งแล้ว เพราะ ผู้ที่ลบหลู่ดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็คือ ม็อบพันธมิตรฯ ที่บังอาจขัดคำสั่งศาลในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นั่นเอง