คอลัมน์: ละครชีวิต
บรรยากาศงานเลี้ยงที่สุดแสนจะชื่นมื่น ครื้นเครงกันเหลือเกิน ระหว่าง คณะเผด็จการ คมช. กับ คตส. โดยมีกองเชียร์ที่ร่วมส่งเสียกำลังใจและกำลังกายกันมาตั้งแต่เมื่อวันก่อการรัฐประหาร เป็นอาการที่แสดงให้เห็นว่า นายทหารบางคนของ คมช. กับเหล่าข้าทาสบริวาร และเครือข่ายคณะเผด็จการ ยังไม่ได้รู้สึกรู้สา ไม่ได้นำพาเลยว่า ได้ก่อความเสียหายให้แก่บ้านนี้เมืองนี้อย่างไร
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ ประเทศไทยไม่เป็นที่เชื่อถือในสายตาของชาวโลกที่จับจ้องมองดูอยู่อีกต่อไป ส่งผลให้ไทยกลายเป็นหนึ่งในห้าประเทศของโลก ที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการเป็นเวลา 1 ปีเศษ
ระบบเศรษฐกิจไทย ที่ต้องพึ่งพาอาศัยการค้า การลงทุน ระหว่างประเทศ ได้รับผลกระทบเสียหายหลายแสนล้านบาท เนื่องเพราะประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก ลดการติดต่อเจรจาการค้า การเสียโอกาสทางธุรกิจที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ คือการเสียโอกาสของประเทศไทย และคนไทยทุกคน
ระบบตุลาการและกระบวนการยุติธรรม ที่ถูกตั้งคำถามและข้อสงสัยถึงความเที่ยงธรรมอย่างแท้จริง จากประชาชนมากกว่าครึ่งค่อนประเทศ ภายใต้บรรยากาศ “ตุลาการภิวัตน์” ที่ประธานศาลฎีกายอมลดตนเป็นข้ารับใช้คณะเผด็จการ มุ่งแสวงหาอำนาจทางการเมืองในคณะรัฐบาลเผด็จการ การสืบสวนสอบสวนหาความจริงของ คตส. กลายเป็นการสืบสวนสอบสวนหาความผิด โดยมีการตั้งธงไว้ล่วงหน้าว่า “ต้องผิด” โดยไม่คำนึงถึงสิทธิ และความจริงจากผู้ถูกกล่าวหา
ระบบกฎหมายของประเทศ ที่ถูกบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นผลมาจากการถูกกดไว้ใต้อำนาจปืน ประกาศของ คปค. ที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร ลงนามบังคับใช้แบบมีอคติ มีความแค้นเป็นพื้นฐาน มุ่งหมายประโยชน์ส่วนตน และใช้เป็นเครื่องมือทำลายผู้อื่น ถูกยกย่องให้มีสถานะเทียบเท่ากฎหมาย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย โดยผ่านการกลั่นกรองจากรัฐสภา
ระบบการเมือง และพรรคการเมืองที่ถูกทำให้อ่อนแอ โดยการหมกเม็ดแอบซ่อนเครื่องมือทำลายพรรคการเมือง และความเข้มแข็งของการเมืองระบบรัฐสภา ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ คมช. เปิดโอกาสให้มีการยุบพรรคการเมืองได้โดยง่าย และยกย่องผู้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีสถานะเทียบเท่ากับผู้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ระบบธรรมาภิบาล ถูกทำให้มีสองมาตรฐาน หากใครเป็นพวกพ้องกับตน จะได้รับความเป็นธรรม และการปฏิบัติอีกแบบหนึ่ง หากใครไม่ใช่พวกพ้อง จะถูกมองด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร และเลยเถิดถึงขั้นเป็นศัตรูที่ต้องทำลายล้าง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ที่ไม่ได้คำนึงถึงระบบคุณธรรม หากแต่ใช้อำนาจเผด็จการเป็นตัวกำหนดและตัดสิน
เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความเสียหาย พินาศย่อยยับ ที่ไม่อาจจะประเมินมูลค่าเป็นตัวเงินได้ และไม่อาจจะตีเป็นราคาที่จะต้องชดใช้เยียวยาได้ เนื่องจากระบบต่างๆ เหล่านี้ที่ถูก คมช. และ คตส. ทำลายลงไป ถูกสร้างสมคุณค่าและความถูกต้องมายาวนานหลายสิบปี หลายร้อยปี จัดเป็นคุณค่าที่สำคัญของสังคมไทย เช่น ระบบกฎหมาย ระบบศาล กระบวนการยุติธรรม ระบบการเมือง ซึ่งนอกเหนือจากคุณค่าในตัวเองของระบบต่างๆ เหล่านี้ ยังหมายรวมไปถึง คุณค่าทางจิตใจ ความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ (ที่ไม่รวมคณะและพวกพ้องของ คมช. กับ คตส.) ที่ต้องถูกทำลายไปพร้อมๆ กับความเข้มแข็งและคุณค่าของประเทศไทยด้วย
การจัดงานเลี้ยงอำลาตำแหน่งของ คตส. ที่ทำกันอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ ราวกับว่าเป็นองค์กรที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งของประเทศไทย โดย ไม่เกรงกลัว และท้าทายสายตาประชาชนผู้รักประชาธิปไตย นับเป็นความเหิมเกริมอย่างมากของคณะเผด็จการ คมช. และ คตส.
ทั้งเหิมเกริม ทั้งหลงยุค โดยไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่า ตนเป็นสิ่งแปลกปลอมของระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องถูกกำจัดออกไป แต่กลับหาหนทางที่จะประกาศตัว แสดงตน และดิ้นรนที่จะกลับมามีอำนาจใหม่อีกครั้ง ด้วยวิธีการเดิมๆ ภายใต้สโลแกน “การเมืองใหม่” ที่ม็อบพันธมิตรฯ กำลังรณรงค์ให้ประชาชนหลงเชื่อกันอย่างรุนแรงในเวลานี้
พึงตั้งข้อสังเกตว่า หลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 เมื่อรู้ผลว่าพรรคพลังประชาชน ซึ่งถูก คมช. และ คตส. กำหนดให้เป็นศัตรูทางการเมือง ชนะเลือกตั้ง ครองเสียงข้างมากในสภา ได้รับการยอมรับจากประชาชนมากที่สุด คมช. ก็สลายตัวไปอย่างเงียบๆ ไม่มีการแถลงปิดท้ายรายการเผาบ้านทำลายเมือง ทั้งๆ ที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าว่าจะจัดกันอย่างใหญ่โต เพราะเชื่อว่าผลการเลือกตั้งจะเป็นอย่างที่โม้เอาไว้ คือ พรรคการเมืองที่ คมช. อยู่เบื้องหลังจะได้รับชัยชนะอย่างมโหฬาร
แต่เมื่อสถานการณ์พลิกข้าง กลับขั้ว พรรคการเมืองที่ตัวสนับสนุนคือ ประชาธิปัตย์ เพื่อแผ่นดิน และชาติไทย ไปไม่ถึงฝั่ง ถูกมรสุมประชาธิปไตยพัดใส่จนล่มปากอ่าว คมช. ก็พลอยซวยหมดอำนาจ สิ้นวาสนาที่จะได้ปกครองแผ่นดิน ไปด้วย งานเลี้ยงที่เตรียมการไว้ก็ถูกยกเลิกไปแบบกะทันหัน เพราะไม่กล้าท้าทายต่อมติมหาประชาชน
แต่วันนี้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข 2 หัวเรือใหญ่ของ คมช. ได้ปรากฏกายขึ้นภายในงานเลี้ยงอำลา คตส. ด้วยรอยยิ้ม และท่าทีกระหยิ่มยิ้มย่อง ราวกับว่าวันเวลาที่รอคอยใกล้จะมาถึงแล้ว
พฤติกรรมของ คมช. และ คตส. เมื่อค่ำวันจันทร์ที่ผ่านมา จึงน่าจะสันนิษฐานได้ว่า ผู้คนกลุ่มนี้กำลังย่ามใจ เมื่อเห็นระบบการเมืองอ่อนแอลง ตามที่ได้วางแผน อันเป็นผลมาจากเครื่องมือและกลไกที่ใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ และจ้องฉวยจังหวะที่จะกลับมาอีกครั้ง
ผู้คนกลุ่มนี้ หามีสำนึกไม่ กับสิ่งที่ได้กระทำลงไป ว่าได้สร้างความเสียหายให้แก่บ้านเมืองหนักหนาสาหัสเพียงใด โดยเฉพาะระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ต้องแปดเปื้อนและบาดหมางไปกับคำแอบอ้าง “เบื้องสูง” อยู่เบื้องหลัง