ที่มา ข่าวสด
คงได้ประจักษ์ถึงความเคียดแค้นที่มีต่อกันอย่างลึกซึ้งระหว่าง 2 ขั้วการเมือง ที่ปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใครตลอดทุกนาทีของการอภิปราย
ด่าได้เป็นด่า แสดงออกอย่างหยาบคายได้ ก็แสดงทันที ราวกับเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน
ความเป็นสุภาพชน หรือความเป็นนักประชาธิปไตยที่จิตใจกว้างขวาง ที่เคารพในบทบาทของฝ่ายตรงข้าม ไม่ปรากฏให้เห็น
เห็นได้ชัดว่า คำว่า "สมานฉันท์" หรือ โอกาสที่จะเยียวยารอยร้าวลึก แบ่งสีแบ่งขั้วระหว่างประชาชนในสังคม แทบไม่มีหวัง
ในเมื่อนักการเมืองกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่ร้อยคน ยังเกลียดชังกันเองอย่างเข้ากระดูกดำ ด้วยเหตุจากผิดหวังพลาดท่าในการชิงอำนาจ
แล้วไปปลุกปั่นประชาชน ขยายความเกลียดชัง ขยายพลังในการทำลายล้างอีกฝ่าย เพื่อตอบสนองเป้าหมายทางการเมืองของตนเอง
การอภิปรายครั้งนี้ ทางรัฐบาลออกมาแฉว่า ส.ส.ฝ่ายค้านได้เปิดโทรศัพท์มือถือ ถ่ายทอดการประชุมให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่อยู่ต่างประเทศ ได้รับฟังและสั่งการ
ยิ่งทำให้เห็นว่า การอภิปรายครั้งนี้ ก็คือส่วนหนึ่งของศึกระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ กับขั้วอำนาจปัจจุบัน
ในแง่ของฝ่ายค้าน ถือว่าประสบความสำเร็จ ในแง่การลดทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาล โดยเฉพาะคือพรรคประชาธิปัตย์
และเปิดโปง ย้ำรอยแผลของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้พอสมควร
กรณีของนายอภิสิทธิ์ ข้อมูลเกี่ยวกับการรับเงินของทีพีไอ โพลีน 260 ล้านบาท ผ่านทางบริษัทเมซไซอะ และปัญหาการใช้เงินอุดหนุนพรรคการเมือง 23 ล้านบาท จากคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หมายมั่นปั้นมือจะใช้เป็นหมัดน็อกรัฐบาล
แม้การนำเสนออย่างวกวนคดเคี้ยว และใส่ลูกเล่นมากเกินความจำเป็น จะมีผลต่อความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง
แต่ถ้ารับฟังด้วยใจเป็นธรรม จะพบว่า กรณีเมซไซอะ และเงินอุดหนุนพรรคการเมือง สังคมต้องการคำอธิบายจากพรรคประชาธิปัตย์ มากกว่าการปฏิเสธลอยๆ โดยอ้างหลักฐานงานธุรการประจำวัน
ไพ่สำคัญที่ฝ่ายค้านยังอุบไว้ ไม่ยอมเผยไต๋ออกมา คือ นายประจวบ สังขาว กรรมการผู้จัดการเมซไซอะ ที่ขณะนี้เก็บตัวอยู่กับฝ่ายค้านนั่นเอง
จุดสำคัญ กรณีเรื่องเงินของทีพีไอ โพลีน ขณะนี้เป็นคดีอยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ และหลังการอภิปราย ร.ต.อ.เฉลิม จะนำเรื่องนี้ไปยื่นต่อกกต.เพื่อขอให้ยุบพรรค ในข้อหาไม่แสดงบัญชีเงินบริจาคเข้าพรรค
ส่วนคดีเรื่องเงิน 23 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ในกกต.แล้ว
การเปิดโปงเรื่องเมซไซอะและเงินอุดหนุนพรรคในสภา ทำให้สังคมได้ทราบถึงอีกมิติหนึ่งที่ไม่สวยงามนัก ของพรรคประชาธิปัตย์
นอกจากดิสเครดิต ทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ยังเท่ากับกระตุ้นเตือนให้สังคม เกิดความสนใจ ร่วมกันจับตามองคดีนี้ไม่ให้กลายเป็นมวยล้ม ด้วยแรงกดดันจากการเมือง
โดยมีโจทย์อันน่าระทึกใจว่า โทษของคดีเหล่านี้ อาจถึงขั้นยุบพรรคได้
อีกเป้าของฝ่ายค้าน ที่มีการตอบโต้กันอย่างถึงพริกถึงขิง คือนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กับทีมส.ส.หญิงจากพรรคเพื่อไทย
แม้จะเป็นการอภิปรายของส.ส.สตรี แต่ก็ถือว่า เป็นช่วงที่เข้มข้นที่สุดช่วงหนึ่งของการอภิปราย ด้วยข้อมูลลับเฉพาะตั้งแต่สมัยเป็นทูต
มีการนำวีซีดี คลิปเสียง การปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ การให้สัมภาษณ์อาหารดี ดนตรีเพราะมาเปิดในที่ประชุม เพื่อตอกย้ำบทบาทนายกษิตบนเวทีพันธมิตรฯ
ก่อนจะตั้งคำถามคาดคั้นนายอภิสิทธิ์ว่า ทำไมจึงตั้งนายกษิตเป็นรมว.ต่างประเทศ ทั้งๆ ที่มีบุคคลอื่นที่เหมาะสมอีกหลายคน
พร้อมๆ กัน ยังได้มีผู้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายกษิต ที่สภ.ราชาเทวะ จ.สมุทรปราการ ในข้อหาก่อการร้ายสากล เข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิ
โดยมีหลักฐานได้แก่ คำปราศรัยของนายกษิตที่เวทีสุวรรณภูมิ
เท่ากับกำหนดเส้นทางให้นายกษิต ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลในคดียึดสนามบิน ภายหลังการอภิปรายผ่านพ้นไป
การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ จึงไม่ได้จบเพียงแค่การเปิดเผยข้อมูล การยกมือลงมติไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจในสภาเท่านั้น
แต่ยังสัมพันธ์กับเกมการเมืองภายนอก ที่มีกลุ่มเสื้อแดงพร้อมแสดงพลัง ขยายผลของเรื่องเหล่านี้
และศึกชิงอำนาจรัฐระหว่างพรรคเพื่อไทย ในฐานะตัวแทนพ.ต.ท.ทักษิณ กับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจที่ไม่ยอมรับพ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะพัฒนาไปอีกขั้น
ดังที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ลุกขึ้นกลางที่ประชุมสภา เตือนว่า หากพรรคเพื่อไทยไปยื่นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ และพิสูจน์ข้อมูลเรื่องเมซไซอะไม่ได้
ก็อาจเป็นฝ่ายถูกยุบพรรคเสียเอง เนื่องจากพ.ร.บ.พรรคการเมืองระบุว่า พรรคการเมืองใด กระทำการให้กกต.หลงเชื่อว่า พรรคการเมืองอื่นกระทำผิดกฎหมาย โดยปราศจากมูลความจริง พรรคนั้นอาจถูกตัดสินให้ยุบพรรคได้
ซึ่งเท่ากับ "เดิมพันยุบพรรค" กันอีกครั้ง