ที่มา ไทยรัฐ
ในที่สุดศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่มีการร่นเวลาเข้ามาให้เร็วขึ้นหนึ่งสัปดาห์ ก็ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย นำทีมโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ใน ฐานะประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย โชว์ลีลาฝีปากเล่นงานรัฐบาลตั้งแต่หัวแถว
อภิปรายไม่ไว้วางใจถล่ม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ตามด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล อีก 5 คน ประกอบด้วย
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ถล่มแหลก มีพฤติการณ์ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนกฎหมาย มีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตคอรัปชัน ประพฤติมิชอบ ไร้จริยธรรมและคุณธรรม
เนื้อหาข้อมูลส่วนใหญ่ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็เป็นไปตามกระแสข่าวที่แพลมเอาไว้ และบทสรุปสุดท้าย ก็เป็นไปตามที่บรรดาคอการเมืองทั้งหลายวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้ ล่วงหน้า
รัฐบาลผ่านด่านไปได้
เพราะถึงแม้ฝ่ายค้านจะมีข้อมูลหลักฐานเจ๋งขนาดไหน แต่เมื่อถึงเวลาโหวตลงมติ รัฐบาลก็ต้องเป็นฝ่ายชนะ เพราะกุมเสียงข้างมากในสภาฯ
สะท้อนให้เห็นว่าพรรคร่วมรัฐบาล ยังมีความแน่นแฟ้น ช่วยกันลากผ่านชนะโหวต
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะผ่านพ้นไปแล้ว โดยรัฐบาลยังคงรักษาสถานภาพ กุมอำนาจบริหารราชการแผ่นดินต่อไป
แต่ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย กับรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้จบลงไปพร้อมกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
เพราะยังมีศึกใหญ่ที่รอการปะทุรออยู่ข้างหน้า นั่นก็คือ
การเคลื่อนไหวระดมมวลชนเข้ามาชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล
โดยเฉพาะการที่แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ประกาศไว้ล่วงหน้าจะนัดระดมพลคนเสื้อแดงปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลระลอกสองในวันที่ 29 มีนาคม
พร้อมทั้งจะยกระดับการชุมนุมของม็อบเสื้อแดง
จากที่เคยเรียกร้องให้ปลดนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออกจากตำแหน่ง ขอให้ดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่บุกยึดท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
เรียกร้องให้โละรัฐธรรมนูญปี 2550 แล้วนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้แทน และขอให้นายกฯอภิสิทธิ์ ประกาศยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน
เพิ่มความเข้มข้นเป็นม็อบแดงทั่วแผ่นดิน ไม่เรียกร้องอะไรอีกแล้ว มุ่งยุทธศาสตร์อย่างเดียว คือ ขับไล่รัฐบาล
และเมื่อมีการร่นการอภิปรายไม่ไว้วางใจให้เร็วขึ้น กลุ่ม นปช.ก็ปรับแผนร่นเวลานัดชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดงไล่รัฐบาลเร็วขึ้นด้วย
โดยประกาศชัดเจน ในวันที่ 26 มีนาคมนี้ยกพลคนเสื้อแดงนับหมื่นนับแสนมาปิดล้อมทำเนียบฯ ขับไล่รัฐบาลแน่นอน
ทั้งนี้ในสถานการณ์การเมืองที่ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย กับรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ เปิดศึกต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอย่างเข้มข้น
ผนวกกับความเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช.และม็อบเสื้อแดงที่ประกาศจะจัดชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาล
สะท้อนให้เห็นชัดถึงการต่อสู้ตามแผนบันไดสามขั้น ภายใต้ยุทธศาสตร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ที่กำหนดผ่านกลไกเครือข่าย ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช. โดยแบ่งยุทธศาสตร์การต่อสู้ออกเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรก คือ การต่อสู้ในสภาฯ
โดยให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เปิดศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจถล่มนายกฯอภิสิทธิ์ และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลอีก 5 คน
แต่จากผลโหวตที่ออกมาสะท้อนชัดว่า
รัฐบาลยังเป็นต่อ
เพราะเป็นฝ่ายครองเสียงข้างมาก และยังสามารถรักษาความเป็นปึกแผ่นภายในพรรคร่วมรัฐบาลเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
และเมื่อพูดถึงจำนวนเสียง ส.ส.ในสภาฯ แม้ว่าตัวเลข ส.ส.ฝ่ายค้าน และ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจะไม่ได้มีการขยับจำนวนเพิ่มขึ้น
แต่ก็มีความเคลื่อนไหวในซีกฝ่ายค้านและแนวร่วมฝ่ายค้าน ที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน นั่นก็คือ
การที่พรรคประชาราชของนายเสนาะ เทียนทอง ที่ปัจจุบันมี ส.ส.อยู่ในสังกัด 9 คน แม้มีสถานะเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน
แต่ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาหมาดๆ พรรคประชาราช ไม่ร่วมสังฆกรรมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ขณะเดียวกัน ส.ส. 9 คน ในกลุ่มของ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ในพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่เคยเป็นแนวร่วมกับฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ในช่วงโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
มาถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวนี้ กลับออกลูกชิ่ง อ้างขอวางตัวเป็นกลาง ไม่เข้าร่วมกับฝ่ายค้านในการอภิปรายฯ รัฐบาล
เท่านั้นยังไม่พอ แม้แต่ ส.ส.ในพรรคเพื่อไทย อย่าง ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี ก็แสดงตัวชัดเจนในการหนุนรัฐบาล
ถึงขั้นเข้าร่วมประชุมกับพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
นอกจากนี้ ยังมีแกนนำพรรคเพื่อไทยบางคน ออกมาระบุเองว่า มี ส.ส.อีกนับสิบคนที่ตัวอยู่กับพรรคเพื่อไทย
แต่ใจไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย
ขณะเดียวกัน ก็มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มกรุงเทพฯและปริมณฑล ในสังกัดของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย ที่เคยร่วมหัวจมท้ายกับ พ.ต.ท.ทักษิณมาตลอด
แม้คุณหญิงสุดารัตน์ หัวหน้ากลุ่ม ยืนยันไม่ไปอยู่กับใครพรรคไหนทั้งนั้น เพราะติดล็อกบ้านเลขที่ 111
แต่พรรคพวกในสังกัดบางคน อาทิ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี อดีต ส.ส.กทม. ก็ขยับขยายย้ายสังกัดไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทยที่อยู่ในซีกรัฐบาลแล้ว
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า เสียงของฝ่ายค้านในสภาฯลดลง ฐานแนวร่วมการเมืองเริ่มถดถอย
ส่วนที่สอง การต่อสู้นอกสภาฯ เป็นที่ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้มีการขับเคลื่อนยุทธการต่อสู้นี้ โดยผ่านแกนนำกลุ่ม นปช.และมวลชนเสื้อแดง ตามแผนบันไดสามขั้นอย่างต่อเนื่อง
ไล่ตั้งแต่การจัดชุมนุมคนเสื้อแดงในจังหวัดต่างๆ พร้อมเปิดเวทีให้ พ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินเข้ามาโจมตีความล้มเหลวในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล
ตามด้วยการให้ ส.ส.ในเครือข่ายพรรคเพื่อไทย เปิดอภิปรายไม่ไว้ วางใจนายกฯอภิสิทธิ์ และ 5 รัฐมนตรี
หลังการอภิปรายฯ ส่ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยเดินสายลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน ขยายแผลความล้มเหลวในการแก้ปัญหาของรัฐบาล พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้
และเตรียมปฏิบัติการขั้นแตกหัก ระดมม็อบเสื้อแดงปิดล้อมทำเนียบฯ ขับไล่รัฐบาล
เพื่อไปสู่เป้าหมายยุทธศาสตร์พา “ทักษิณ” กลับบ้าน
ทั้งนี้จากภาพความเคลื่อนไหวที่ปรากฏในการต่อสู้นอกสภาฯของมวลชนเสื้อแดง เริ่มทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะช่วงหลังมีการจัดหน่วยจรยุทธ์กลุ่มย่อยตามประกบนายกฯอภิสิทธิ์ และบรรดารัฐมนตรีที่เดินทางไปตรวจราชการและพบปะประชาชน ตามต่างจังหวัดทุกพื้นที่
แสดงปฏิกิริยาต่อต้านอย่างหนัก
รัวตีนตบ โห่ไล่ ปาไข่ ระดมขว้างขวดน้ำพลาสติกเข้าใส่ ลามไปถึงการใช้ความรุนแรงปาระเบิดปิงปองถล่ม
ขณะเดียวกันก็มีการชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดงในพื้นที่จังหวัดต่างๆ ทั้งภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคอีสาน และภาคเหนือ
เพื่อรับฟังการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ส่งเสียงข้ามประเทศเข้ามาปลุกกระแส ปลุกความฮึกเหิม กันเป็นรายวัน
โฟนอินถี่ยิบไปทุกที่ที่คนเสื้อแดงชุมนุม ไม่เว้นแม้กระทั่งงานวัด
ประกาศชัด ถ้าประชาชนและคนเสื้อแดงลุกขึ้นต่อสู้เรียกร้องอยากให้กลับมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ก็พร้อมจะกลับมาทันที
เปิดหน้าแสดงตัวเป็นหัวหน้าม็อบตัวจริง ไม่มีการแอบอยู่หลังฉากอีกแล้ว
เป้าหมายสูงสุด คือ ล้มรัฐบาล
ปลดล็อกคดีความ กลับเข้ามาชิงอำนาจการเมืองอีกครั้ง
“ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ได้ติดตามสถานการณ์การเคลื่อนไหวต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณมาโดยตลอด ทั้งหน้าฉากและหลังฉาก จากปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เราขอชี้ว่า
การต่อสู้ในสภาฯ ผ่านกลไกฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยมีสัญญาณให้เห็นว่ามีอาการแผ่ว
แต่สำหรับการต่อสู้นอกสภาฯ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกหน้าปลุกกระแสมาตลอด พร้อมเตรียมโหมระดมมวลชนเสื้อแดงปิดล้อมทำเนียบฯ ขับไล่รัฐบาลในวันที่ 26 มีนาคม
งานนี้ ถ้าการต่อสู้บรรลุเป้าหมาย ขับไล่รัฐบาลได้สำเร็จ ก็จะเดินไปสู่จุดมุ่งหมายสุดท้าย
นำ “ทักษิณ” กลับมาสู่อำนาจอีกครั้ง เพื่อให้ได้ทุกอย่างกลับคืนมา
แต่การต่อสู้นอกสภาฯ ด้วยการโหมปลุกกระแสคนเสื้อแดงขับไล่รัฐบาล จะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ต้องวัดกันที่มวลชน
ดิ้นสู้รอบนี้ ผลจะออกมาแบบไหน
มีอีกหลายเฮือก หรือเป็นเฮือกสุดท้าย ต้องรอดู.
ทีมการเมือง