WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, September 8, 2009

แนวทางการโค่นล้มระบอบอำมาตย์

ที่มา Thai E-News


โดย Pegasus
8 กันยายน 2552

ประชาชนที่ได้แปรสภาพเป็นมวลชนอันไพศาลนี้เท่านั้น ที่จะเอาชนะอำนาจจากปากกระบอกปืน และกฎหมายที่อยุติธรรมได้ การชุมนุมด้วยมวลชนที่มีการจัดตั้งอย่างดี มีประสิทธิภาพ จะเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยด้วยประชาชนอย่างแท้จริง


แนวทางการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยได้เปลี่ยนจากการขึ้นปราศรัยขับไล่รัฐบาล และการชุมนุมใหญ่ ยกระดับมาเป็นการจัดตั้งมวลชน และการโค่นล้มอำมาตย์ ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาทั้งปวงท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจ และการบริหารงานที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของรัฐบาล

ก่อนที่จะไปโค่นล้มระบอบอำมาตย์ ก็ควรทำความรู้จักก่อนว่า ระบอบอำมาตย์คืออะไรและมาจากไหน การโค่นล้มจึงจะกระทำได้หมดจด ครบถ้วนและปลอดภัยสำหรับประชาชนตลอดจนระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

หากจะเทียบระบอบอำมาตยาธิปไตยกับภาษาอังกฤษแล้วก็คงจะใกล้เคียงกับคำว่า อริสโตเครซี ซึ่งมาจากภาษากรีกว่า aristokratia เป็นความหมายว่าเป็นการปกครองของผู้ที่ดีเยี่ยม เช่นพวกคนเก่ง คนแข็งแรงหรือคนที่ทำคุณความดีในการเป็นพลเมือง เช่นทหาร พ่อค้า เจ้าที่ดิน พระหรือนักกฎหมาย

(The term "aristocracy" is derived from the Greek language aristokratia, meaning 'the rule of the best'… Aristocracy is a form of government, in which a select few such as the most wise, strong or contributing citizens rule, often starting as a system of co-option where a council of prominent citizens add leading soldiers, merchants, land owners, priests, or lawyers to their number...)


ในสังคมไทยก็คงคล้ายๆกันล้วนเป็นคนแอบอ้างการเป็นคนเก่ง คนดี คนมีคุณธรรม แต่บังเอิญจอมปลอมกันทั้งนั้น

เมื่อได้นิยามตรงกันแล้ว หัวหน้าใหญ่ของระบบนี้ก็คงเป็นอดีตข้าราชการ นายทุนผูกขาดที่ได้ประโยชน์จากระบบราชการและระบบผูกขาดของประเทศ กลุ่มคนที่เรียกกันว่าผู้ดีซึ่งมักเป็นเจ้าที่ดิน ธุรกิจผูกขาดมาแต่เดิมหรือใช้อำนาจรัฐสร้างระบบผูกขาดขึ้นมาภายหลังก็ตาม ในกลุ่มนี้บางส่วนไปรวมตัวกันสร้างระบบเส้นสายใกล้ชิดอิงแอบกับสถาบันสำคัญของชาติในรูปแบบต่างๆกัน แต่มีจิตสำนึกร่วมกันคือการแบ่งแยกว่ากลุ่มตนหรือผู้ที่มาฝากตัวไว้กับกลุ่มตนเท่านั้นที่สมควรเป็นผู้ปกครองประเทศหรือกิจกรรมอื่นๆที่สำคัญตั้งแต่การเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ธนาคาร บริษัทผูกขาด ผู้รับสัมปทาน แม้แต่โครงการของรัฐที่มีวงเงินจำนวนมากก็ตาม ปัญหาคือเป็นการยากที่จะระบุว่าใคร ผู้ใดที่มีพฤติกรรมดังกล่าวเนื่องจากมีการตัดตอนและจัดแจงให้ด้วยการสมยอมกันของระบบราชการและธุรกิจเป็นอย่างดี จึงไม่อาจระบุบุคคลหรือองค์กรใดๆได้ นอกจากฟังจากคำเล่าลือต่างๆเท่านั้นเอง

ต่อมาเมื่อเกิดวิกฤติทางการเมืองขึ้นเนื่องจากรัฐบาลของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ฯนำระบบบริหารงานสมัยใหม่ที่มีการชี้วัดการทำงานและได้ส่งงบประมาณตรงลงไปถึงมือประชาชนทั้งกองทุนหมู่บ้านหรือในรูปสวัสดิการได้แก่ 30 บาทรักษาทุกโรค กลุ่มคนดังกล่าวก็เกิดความเดือดร้อนและนำมาซึ่งการลอบสังหาร การสนับสนุนการเดินขบวนของกลุ่มเสื้อเหลือง ไปจนถึงการยึดอำนาจและตามล้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเนื่องจากเงินที่ได้อายัดไว้ 7 หมื่นกว่าล้านนั้นหอมหวนยิ่งนักและไม่แน่ว่าอาจรั่วไหลไปบ้างแล้วจนไม่เหลือก็เป็นได้ความร้อนรนในการปิดคดีจึงเกิดขึ้น

แนวทางการโค่นล้มระบอบอำมาตย์ที่ผูกขาดจึงจำเป็นเพราะทำให้ธุรกิจของประชาชน เดินไปไม่ได้เช่นการต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้สูงและได้ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำติดดิน การกู้เงินในประเทศทำให้ ธนาคารไม่ปล่อยกู้ ธนาคารบางแห่งที่มีเส้นสายได้รับประโยชน์ จนในที่สุดผลประโยชน์ทุกประการหมุนกลับไปสู่ระบอบนี้ ยิ่งซ้ำเติมประชาชนเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยเพราะธนาคารเป็นทุนผูกขาดชนิดหนึ่งที่อิงแอบกับระบอบอำมาตย์มาเป็นระยะเวลายาวนานไม่อาจมีธนาคารอื่นมาแข่งขันได้จนในที่สุดก็สร้างภาระให้กับคนไทยทั้งประเทศดังที่ทราบกันดีแล้ว ที่สำคัญคือการฝากธุรกิจของประเทศไว้กับกลุ่มคนไม่กี่คนที่ไม่มีความรู้ในการบริหารธุรกิจแต่เข้ามาแทรกแซงและชี้นำแบบตามใจตัวเอง ซึ่งไปกันไม่ได้กับระบบทุนนิยมเสรีที่เน้นการแข่งขัน เพื่อเป็นการยกเลิกภาระการทำนาบนหลังคนและเส้นสายเหมือนทาสนี้ การโค่นล้มระบอบอำมาตย์จึงจำเป็นอย่างยิ่ง

ขั้นตอนการโค่นล้มอำมาตย์อาจเป็นไปดังนี้

1.แปรสภาพมวลมหาประชาชนในกรุงเทพฯที่สามเกลอได้ไว้เป็นแนวร่วมให้เป็นมวลชนอันไพศาลที่มีการจัดตั้งชัดเจนเป็นหมวด เป็นหมู่ มีระบบการติดต่อและการสื่อสารที่สมบูรณ์ ขยายให้ได้นับเป็นเรือนล้าน

2.มวลชนดังกล่าว สามารถรวมตัวและกระจายตัวได้รวดเร็วเป็นกลุ่มย่อยๆ เปรียบเทียบเหมือน จอก แหน ที่ทุบแล้วไม่โดน กระจายตัวหายไปแล้วกลับมารวมกันใหม่อย่างรวดเร็ว และมีจำนวนมากอย่างไม่อาจคาดคะเนได้

3.มวลชนในกรุงเทพฯดังกล่าวสามารถแบ่งเป็นระลอกคลื่นได้สามสี่ระลอก หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันได้โดยตลอด ทั้งยังมีมวลชนต่างจังหวัดจัดตั้งในลักษณะเดียวกันที่จะรวมตัวกันในจังหวัดหรือเดินทางมาเป็นกองหนุนให้กับมวลชนในกรุงเทพฯ อีกหลายล้านคน

4.หลบหลีกการสร้างสถานการณ์ การใช้อาวุธสังหารของฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครองหรือตำรวจ รักษาชีวิตรักษาตัวไว้จนกว่าจะได้เวลานัดหมายโดยไม่พกอาวุธไม่ทำผิดกฎหมายแต่ใช้ปัญญาในการเปิดโปงความเลวร้ายของระบอบทมิฬ

5.เมื่อมวลชนมีความชำนาญและมากเพียงพอให้ยื่นข้อเสนอที่จะชุมนุมใหญ่ทั่วกรุงเทพมหานคร ด้วยการตั้งเวทีปราศรัยทุกจุดสำคัญพร้อมกันและต่อเนื่องกันให้เห็นหรือไปมาหากันได้เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของกรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญยกเลิกอำนาจของเหล่าอำมาตย์ ด้วยคนเป็นล้านคนแต่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันพักผ่อนให้สดชื่นในตอนกลางวันตั้งแต่เช้าเลิกหกโมงเย็น เพื่อป้องกันการล้อมปราบในเวลากลางคืน การชุมนุมนี้เกิดขึ้นทั่วทุกหนทุกแห่งในกรุงเทพฯ จนกำลังทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง 15,000 คนไม่สามารถกระจายกันไปล้อมปราบได้หมด หากมีการเตรียมใช้กำลัง มวลชนที่เป็นกองหนุนให้ระดมออกมากดดันตลบหลังได้ทันที ดังนั้น มวลชนต้องมากพอเหมือนน้ำไหลที่บ่ามาจากทุกทิศทาง

6.หัวข้อในการเรียกร้องรัฐธรรมนูญเป็นดังนี้

1.ขอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 15 มาตรา 291 ที่ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญได้ โดยระบุเพียงว่าให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 50 และให้ใช้ รัฐธรรมนูญ 40 แทน และ

2.ในรัฐธรรมนูญ 40 ให้ยกเลิกองคมนตรีและวรรคที่เกี่ยวข้องเสียทั้งหมด

3.รัฐธรรมนูญ 40 ในส่วนของ มาตรา 7 ให้ยกเลิกเสีย (เป็นผลิตผลจากระบอบเผด็จการสมัย จอมพลสฤษดิ์ฯมาแต่เดิม แต่น่าจะมีความตั้งใจนำมาใส่ไว้เพื่อผลทางการเมืองต่อมาซึ่งก็ได้ประจักษ์แล้ว)

4.มาตราที่เกี่ยวกับอำนาจ ให้แก้ไขเป็น อำนาจสูงสุดของประเทศเป็นของปวงชนชาวไทย และจบแค่นั้น

5.สำหรับกรณีองค์พระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของประเทศจะทรงใช้อำนาจอธิปไตยอย่างไรให้บัญญัติไว้ในหมวดพระมหากษัตริย์โดยนำรัฐธรรมนูญของประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขทั้งของยุโรปและญี่ปุ่นมาปรับปรุงใช้เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากลเช่นเดียวกับประเทศอื่น

6.ในส่วนของตุลาการ ให้ประมุขฝ่ายบริหารหรือฝ่ายนิติบัญญัติแต่งตั้งประธานศาลฎีกา ตามแบบอย่างของรัฐธรรมนูญทุกประเทศ

7.การที่ประชาชนเข้าชื่อกันแก้ไขกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญ เขียนเพิ่มเติมให้ประธานรัฐสภาต้องนำเข้าที่ประชุมภายในสามเดือนมิฉะนั้นให้ถอดถอนได้

8.ให้ระบุเพิ่มเติมไว้ในรัฐธรรมนูญว่าการยึดอำนาจนั้นไม่ใช่การได้มาซึ่งอำนาจอธิปไตยและให้มีกฎหมายลูกกำหนดโทษผู้ที่ริเริ่มทำการยึดอำนาจว่าให้หมดสภาพการเป็นข้าราชการทันทีที่พบการกระทำนั้นในทุกระดับและให้หัวหน้าส่วนราชการระดับรองลงไปรักษาการณ์ทันที ทั้งนี้ก็เพื่อลบล้างการตีความของศาลฎีกาแต่เดิมที่ว่าการยึดอำนาจทำได้และทำให้การริเริ่มยึดอำนาจไม่มีผลในทันที่ที่ได้พบการกระทำนั้นต่อสาธารณะ

9.บทเฉพาะกาลให้ยกเลิก องค์กรอิสระและบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งตามคำสั่งคมช.ทั้งสิ้น

10.ประเด็นการแก้ไขนี้ ควรใช้การลงประชามติหรือการหยั่งเสียงประชาชนเป็นแนวทาง โดยเป็นการกระทำเป็นรายประเด็น ด้วยการนำรัฐธรรมนูญของต่างประเทศเป็นบรรทัดฐานทดแทนการกล่าวอ้างของกลุ่มเนติบริกรที่แอบอ้างโบราณราชประเพณีเพื่อสถาปนาระบอบอำมาตย์ขึ้นมาและทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อสถาบันอย่างยิ่งยวด

ประชาชนที่ได้แปรสภาพเป็นมวลชนอันไพศาลนี้เท่านั้น ที่จะเอาชนะอำนาจจากปากกระบอกปืน และกฎหมายที่อยุติธรรมได้ การชุมนุมด้วยมวลชนที่มีการจัดตั้งอย่างดี มีประสิทธิภาพ จะเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยด้วยประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่การใช้ทหารปลอมเป็นคนเสื้อเหลืองแล้วประกาศชัยชนะ การแก้ไขรัฐธรรมนูญบางประการนี้ไม่ได้ลดทอนพระราชอำนาจแต่อย่างใด แท้จริงเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

การเพิกเฉยหรือการทำร้ายตลอดจนสังหารประชาชนใดๆก็ตามจะทำให้เกิดกลียุคจลาจลไปทุกหย่อมหญ้าและทหารจำนวนเพียงน้อยนิดคงไม่อาจต้านทานมวลชนจัดตั้งแล้วที่บ้าคลั่งได้ และจากประวัติศาสตร์ของหลายๆประเทศทหารนั่นเองที่จะกลับเป็นฝ่ายโค่นล้มอำมาตย์นั้นเองเพราะเป็นฝ่ายที่ได้รับความคับแค้นจากความไม่เป็นธรรมมาตั้งแต่ต้น

เงื่อนไขสำคัญคือมวลชนต้องอดทน ไม่พกอาวุธ ไม่ตระเตรียมกระทำการใดๆให้เห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงและต่อราชบัลลังก์เป็นอันขาด จำนวนมวลชนมหาศาลจะทำให้ทุกฝ่ายหยุดคิดได้เองอย่างแน่นอน นอกเสียจากว่าได้เสียสติและกระหายเลือดไปแล้วเท่านั้น

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ควรปล่อยไปตามกรรม

000000000000
หมายเหตุไทยอีนิวส์:บทความนี้เป็นทัศนะของผู้เขียน กองบรรณาธิการไทยอีนิวส์ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป