ที่มา vattavan
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
ก่อนที่จะเข้าเรื่องที่ตั้งใจเขียน ขอย้อนไปถึงบทความสัปดาห์ที่แล้ว คือ “บริหารแบบไม่บริหาร!... สู้แม้วไม่ได้เลย!!” ซึ่งผมได้ยกคำพูดของ สนธิ ลิ้มทองกุล บอสใหญ่ของค่ายโพกผ้าเหลือง ที่ยืนยันผ่าน ASTV ว่าการบริหารงานของนายมาร์ค มุกควาย ไม่อาจเทียบได้กับนายกฯทักษิณ ชินวัตร ในทุกกระบวนท่า
มาถึงสัปดาห์นี้ เรื่องที่คนไทยกำลังตื่นกัน คือส.ส.หมาดๆของพรรคดักดาน ที่เคยมีบทบาทไล่ล่าคุณทักษิณ โดยหมายจะเอานายกรัฐมนตรีฯ ที่ถูกโค่นล้มด้วยปากกระบอกปืน กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย เขาผู้นั้นชื่อ
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์
อีตาคนนี้แกเบาปัญญา เพราะไปรับบัญชาของ เถนโพธิรักษ์ แล้วเซอะซะซุ่มซ่ามไปถูกจับกุม พร้อมกับคนไทยอีกหลายคนในดินแดนของกัมพูชา ทำให้เกียรติภูมิของชาติ ต้องตกต่ำลงไปอีก
ทุกขะโต ทุกขะฐานัง!
ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว อย่างพระท่านว่าจริงๆ จะเอาทักษิณเข้าคุก แต่ตัวเองต้องเข้าคุกเขมร ไปนอนให้หนูและแมลงสาป แทะหัวก่อน!!
ในกรณีดังกล่าว ผู้คนในบ้านเมืองที่กำลังร้าวฉานแบ่งค่ายแบ่งขั้วกันอย่างล้ำลึก ก็มีความรู้สึกแตกต่างกันไป
บางพวกก็ ‘สะใจ’ บ้างก็ห่วงใย!
ได้มีการแสดงออกในรูปแบบต่างๆ แต่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือเสียงตำหนิแสดงความไม่พอใจ รวมทั้งการด่าทอบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีรัฐมนตรีพันธ์โลซก ซึ่งมักก่อเรื่องนรกด้วยการทะเลาะเบาะแว้งกับผู้คน และประเทศเพื่อนบ้านเขาไปทั่วเป็นประจำตามสันดานของแก
มาถึงวันนี้ ความเหนือชั้นในการบริหารประเทศของทักษิณฯ ตามบทความของผมในสัปดาห์ก่อนนั้น ได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริงอีกด้านหนึ่ง นั่นคือ
เรื่องกิจการต่างประเทศ
ทั้งนี้ เพราะคุณเตช บุนนาค ซึ่งเป็นที่เคารพของคนในกระทรวงการต่างประเทศ เพราะท่านเคยเป็นข้าราชการประจำที่มีตำแหน่งสูงสุด และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงบัวแก้ว ในสมัยรัฐบาลท่านนายกฯ สมัคร สุนทรเวช มาก่อน
คุณเตชได้กล่าวยืนยัน เมื่อ 11 ม.ค.2554 นี้เองว่า...
การต่างประเทศของไทยตอนนี้ ถือว่าอยู่ในยุคตกต่ำอย่างมาก จากที่เคยขึ้นถึงจุดสูงสุดในช่วงปี 2546 ที่ไทยขึ้นมาเป็นผู้นำบนเวทีนานาชาติได้
ปี พ.ศ.2546 ประเทศไทยเรามีนายกรัฐมนตรีที่มีความสามารถสูง ชื่อ...
พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร!
มาถึงพ.ศ.นี้ การต่างประเทศของเรา ตกต่ำจนเป็นที่ดูถูกดูแคลนของคนทั่วโลก เพราะบ้านเราโชคร้ายสุดๆ ดันมีเคราะห์ไปได้ นายมาร์ค มุกควาย มาดำรงตำแหน่งสำคัญนี้
ขอให้พี่น้องผองไทยจำกันไว้ อย่าลืมเชียว ช่วยจำใส่ใจเอาไว้ และนำไปสอนลูกสอนหลานเรา ในวันข้างหน้าด้วย!
จากนี้ไป ผมก็จะเข้าเรื่องที่ตั้งใจจะเขียนถึงในวันนี้ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ไม่กี่วันนี้มีข่าวหนึ่ง ที่ควรจะกลายเป็นข่าวใหญ่ เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องคอรัปชั่น ของผู้บริหารในองค์กรการเมืองส่วนท้องถิ่น เลยขอนำข่าวมาเล่าเกริ่น สำหรับท่านผู้อ่าน ที่ไม่ได้ติดตามข่าวนี้มาก่อน นั่นคือ
การที่ตำรวจจับกุมตัว "นายเมธา ใจบริสุทธิ์”นายกเทศมนตรีเมืองคูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานีในข้อหาทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
ก่อนเข้าทำการจับกุม หลังจากที่ นายเจริญ โชคทวีวิศาลกุล อายุ 38 ปี เจ้าของบริษัทสันฐิตาจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างทั่วไป เข้ายื่นซองกระดาษสีน้ำตาลที่บรรจุเงินสดไว้ให้แก่นายเมธา ในห้องทำงาน ภายในสำนักงานเทศบาลเมืองคูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี
แผนการจับกุมครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เมื่อ นายเจริญ เข้าพบกับ พ.ต.อ.วีระพันธ์ ทันใจ ผกก.2 บก.ปปป. เพื่อขอหารือ หลังจากถูกกลั่นแกล้งจากผู้ที่เกี่ยวข้องในการตรวจงาน หลังจากประมูลงานชนะเข้าไปก่อสร้างโครงการโรงงานสูบน้ำ
"ผู้เสียหายเข้ามาปรึกษาหารือ เพราะทนไม่ไหวจากการที่ถูกอ้างว่ากลั่นแกล้ง ทำนองว่า งานไม่สมบูรณ์จนกระทั่งเสียค่าปรับ ซึ่งผู้เสียหายอ้างว่าบริษัทอื่นๆ ก็ถูกกระทำ ก็เลยบอกไปว่า ให้ไปรวมกันมาแจ้งความ แต่การจับกุมต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ ผู้เสียหายต้องให้ความร่วมมือ นายเจริญก็ขอกลับไปคิด แล้วก็เงียบหายไป" พ.ต.อ.วีระพันธ์ ระบุ
การเงียบหายไปของนายเจริญ ทำให้ตำรวจคาดว่า นายเจริญคงไม่อยากดำเนินคดี เพราะยังไงต้องประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ต้องประมูลงานตามสถานที่หน่วยงานราชการต่างๆ ในอนาคต แต่แล้วช่วงสายวันที่ 5 มกราคม 2554 นายเจริญได้เข้าพบ พ.ต.อ.วีระพันธ์ อีกครั้ง พร้อมขอร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับนายเมธา
หลังจากรับคำร้องทุกข์ พ.ต.อ.วีระพันธ์รายงานเหตุที่เกิดขึ้นต่อ พล.ต.ต.สุรชัย ควรเดชะคุปต์ ผบก.ปปป.ทราบ ก่อนได้คำสั่งให้เร่งสืบสวนจับกุม เมื่อนายเจริญนำเงินสด พร้อมซองเอกสารสีน้ำตาลที่บรรจุเงินสดไว้ถ่ายสำเนาทั้งหมดแล้วตำรวจนำไปจดในบันทึกประจำวัน ก่อนเดินทางไปที่สำนักงานเทศบาลเมืองคูคต หลังจากนั้นให้นายเจริญเข้าไปพบนายเมธาในห้องทำงาน พร้อมยื่นซองบรรจุเงินให้แก่นายเมธา แล้วนายเมธาก็นำเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานด้านขวา พ.ต.อ.วีระพันธ์จึงเข้าแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงาน พร้อมทั้งแจ้งให้ทราบว่า
นายเจริญแจ้งความร้องทุกข์กล่าวหาว่า นายเมธาเรียกรับผลประโยชน์
จากตัวอย่างที่เป็นเรื่องจริง ตามข่าวที่ลอกมานี้ ผมขอเล่าย้อนสักนิด เพื่อให้ท่านผู้อ่านทราบเกี่ยวกับหน่วยตำรวจ ที่ทำการจับกุมคดีดังไปทั่วประเทศ แบบคาหนังคาเขา ดังต่อไปนี้
ก่อนที่จะมีคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้น เดิมการสอบสวนคดีทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการนั้น “ตำรวจ” เป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวน และหน่วยที่รับผิดชอบในการดำเนินการ เพื่อต่อสู้กับปัญหาการทุจริตของชาตินั้น คือ
กองกำกับการที่ 6 กองบังคับการกองปราบปราม ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางอีกชั้นหนึ่ง
หน่วยงานที่มีหน้าที่ ปราบปรามคอรัปชั่น!
ใครเป็นนายตำรวจสมัยนั้น ก็ไม่อยากไปอยู่กองกำกับการนี้ เพราะไม่มีผลประโยชน์ หรือรายได้ทางอื่น นอกเหนือจากเงินเดือน และเบี้ยเลี้ยงที่จะได้รับ ก๋ต่อเมื่อออกจากที่ตั้งไปทำการสอบสวนในต่างจังหวัด
นายตำรวจส่วนใหญ่ของหน่วยนี้ จะต้องดำรงชีวิตเรียบง่าย เพราะจะถูกจับตาจากผู้บังคับบัญชา ที่ห่วงใยในเรื่อง “คอรัปชั่นซ้อน” แต่ก็มีนายตำรวจลูกหม้อจากกองกำกับการนี้ ชื่อ พล.ต.ต.สงวน คล่องใจ สามารถตีแหวกขึ้นมา ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองปราบปรามได้
เป็นที่ฮือฮากันมาก!
ความซื่อสัตย์ของผู้การสงวนฯ เป็นที่เลื่องลือนัก เพราะท่านมีชีวิตที่เรียบง่าย ปกติแล้วจะรับประทานอาหารในที่ทำงาน โดยมักกินข้าวต้มกับถั่วลิสงคั่ว ทั้งมื้อกลางวันและเย็น จนเป็นที่ชินตาของลูกน้อง
ท่านเป็นคนร่างผอมสูง ถึงแม้จะเป็นผู้บังคับการแล้ว ก็สามารถใส่เสื้อผ้าสมัยเป็นนักเรียนนายร้อยได้ เพราะรูปร่างไม่เปลี่ยนแปลง สามารถรักษาน้ำหนัก ไว้คงเส้นคงวาได้ดีที่เดียว
วันหนึ่ง ท่านนั่งทำงานกลางดึกในกองปราบปราม สามยอด แล้วเป็นลมล้มตึงจากเก้าอี้ ลูกน้องต้องนำส่งโพงพยาบาล
ผลการวินิจฉัย แพทย์บอกว่า ท่านเป็น...
“โรคขาดอาหาร!”
จึงเป็นที่กล่าวขานกันนักว่า คนที่เป็น “ผู้บังคับการกองปราบปราม” เป็นโรคขาดอาหารอย่างไรกัน ไม่น่าเป็นไปได้
แต่ก็เป็นไปแล้ว!!
ที่เล่ามานี้ ก็เพื่อแสดงของผู้ที่ทุ่มเทชีวิตจิตใจในการสอบสวนคดีทุจริตของประเทศ ดำรงชีวิตเรียบง่าย ต้องทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ แต่วันเวลาเปลี่ยนไป นักการเมืองตั้งหน่วยงานใหม่ มารับโอนเอางานสอบสวนคดีลักษณะนี้ไป แต่กลับทำให้การสอบสวนปราบปรามคอรัปชั่น
ด้อยประสิทธิภาพลง อย่างน่าใจหาย!
เมื่อต้องโอนงานสอบสวนให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นั้น ตำรวจมีสำนวนการสอบสวนอยู่ระหว่างการดำเนินการเพียง 300 คดี และคดีระหว่างการสืบสวนประมาณ 600 คดี รวมกันไม่ถึง 1,000 เรื่อง
สำนวนการสอบสวนตำรวจ ไม่มีเรื่องเสียหาย และอนุกรรมการ ป.ป.ช. ผู้ที่มารับมอบสำนวนการสอบสวนในครั้งนั้น ก็เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งต่อมาก็ได้รับการคัดเลือกจากวุฒิสภา ให้เป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. และได้รับการลงคะแนนเสียงจากคณะกรรมการ ให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ ป.ป.ช.อีกด้วย
หลังจากโอนงานสอบสวนไปยัง ป.ป.ช.แล้ว ตำรวจยังมีหน่วยสอบสวนคดีทุจริต โดยมีข้อจำกัด เพราะสอบสวนได้โดยมีกำหนด 30 วัน แล้วต้องส่งสำนวนการสอบสวนให้ ป.ป.ช. หน่วยงานนี้มีชื่อ เรียกว่า
กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ป.ป.ป.)
หน่วยตำรวจที่ทำการจับกุมตัว นายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองคูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี นั่นแหละครับ!
การสอบสวนที่อยู่กับตำรวจนั้น ไม่เคยคั่งค้าง จนได้รับความเสียหาย เพราะมีการกำกับดูแลตามลำดับชั้นเป็นอย่างดี มีการตรวจสอบสำนวนค้างเป็นรายสัปดาห์ และรายเดือน แต่เมื่อโอนงานมาอยู่กับ คณะกรรมการ ป.ป.ช.เพียงไม่กี่ปี กลับมีเรื่องคั่งค้างแบบดินพอกหางหมู อย่างน่าตกใจถึงกว่า 1 หมื่นเรื่อง
ทั้งนี้ เพราะกระบวนการสอบสวนของ ป.ป.ช. เป็นไปอย่างเยิ่นเย้อ ยืดยาด อีกทั้งเมื่อเริ่มตั้ง ป.ป.ช. คณะกรรมการก็ประชุมกันสัปดาห์ละครั้งเดียวเท่านั้น จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการ ก็มาเพิ่มเป็น 2 ครั้ง แต่ก็ยังไม่ทันการต่อสำนวนการสอบสวน ที่คั่งค้างมากมายขนาดนั้น
นี่ขนาดเพิ่งตัดโอนคดีทุจริต ของข้าราชการระดับ ซี 8 ลงไป ให้กับ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท) ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ของกระทรวงยุติธรรม แต่ถึงกระนั้น เรื่องก็ยังคั่งค้างอยู่ที่สำนักงาน ป.ป.ช. อีกครึ่งค่อนหมื่น
การสอบสวนคดีต่างๆของ ป.ป.ช. เป็นไปอย่างล่าช้า ยกตัวอย่าง เช่น
คดีของอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งผู้ร่วมกระทำความผิดในฟากสหรัฐ รับโทษจำคุกไปเรียบร้อยแล้ว แต่ของเรายังเพิ่งเริ่ม และไม่รู้อนาคตด้วยว่า
จะต้องใช้เวลาไปอีกกี่ปี หรือกี่ชาติ!?
ถ้าตำรวจยังสอบสวนอยู่ ป่านนี้อดีตผู้ว่าการท่องเที่ยว ถูก รวบตัวและฟ้องร้องไปนานแล้ว
เช่นเดียวกับคดีนายอภิรักษ์ฯ อดีตผู้ว่า กทม. ป่านนี้จะต้องถูกจับกุม หรือศาลอาจพิพากษาเรียบร้อยไปแล้วก็ได้ เพราะเวลาผ่านไปหลายปีดีดักแล้ว!
ที่น่าเกลียดน่าชังมากคือ คดีที่เข้ามาสู่ ป.ป.ช.นั้น หากเป็นคดีการเมือง หรือฝ่ายตรงข้ามกับพรรคประชาธิเปรต คือพรรคพวกทักษิณ เป็นผู้ถูกกล่าวหา อย่างเช่นคดี พันตำรวจเอก ธนายุตม์ วุฒิจรัสธรงค์ (ฤทธิรงค์ เทพจันดา) หรือ “โอ๋ สืบหก” ก็จะถูกหยิบยกมาสอบสวนอย่างรวดเร็ว โดยนำมาพิจารณาก่อนเรื่องอื่นที่เข้าคิวรออยู่ก่อนหน้าเกือบหมื่นเรื่อง
อย่างนี้มันก็ทำกัน!
เดชะบุญที่ลงท้าย คณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยเฉพาะนายวิชา มหาคุณ ประธานอนุกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ กลับต้องฝ่ายเสียหน้าอย่างแรง เพราะนายตำรวจผู้นี้ ก็สามารถกลับมารับราชการได้ตามเดิม ตามคำสั่งคำพิพากษาของศาลปกครองเชียงใหม่ คดีหมายเลขดำที่ 332/2550 คดีหมายเลขแดงที่ 203/2551
(ดูคอลัมน์ ป.ป.ช. องค์กร ‘กบโปร่งใส’ หรือ ‘คางคกหนังหนา’ !!!? http://vattavan.com/detail.php?cont_id=154)
เฉกเช่นเดียวกับคดีของ นายตำรวจอย่าง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ซึ่งมีนายอภิแสบ ภักดีโพเดียม หรือนายมาร์ค มุกควาย เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษเอง ซึ่งคณะกรรมการป.ป.ช. ชุดนี้ รีบเร่งหยิบยกมาสอบสวนดำเนินการก่อน ทำให้ผู้คนก็มองออกว่า
กรรมการคณะนี้ ทำลงไปเพื่อสนองความต้องการของฝ่ายพันธมาร และพรรคประชาธิเปรตเท่านั้น
หรือใครเถียงว่าไม่จริง!?
ที่รับกันไม่ได้ คือ
นายตำรวจอย่าง พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ อดีตผู้บังคับการอุดรธานี ที่ถวายอารักขาพระบรมวงศานุวงศ์อยู่แท้ๆ ซึ่งมีกรมวังผู้ใหญ่ให้การเป็นพยานด้วย แต่กลับถูกกล่าวหาว่า
ละทิ้งหน้าที่ เพราะไม่ไปดูแลพวกพันธมาร...เท่านั้น!
มันเห็นไอ้พวกนี้ สำคัญกว่าเรื่องเจ้านายหรือไง ก็ไม่ทราบ?
อย่างไรก็ตาม นายตำรวจเหล่านี้ ซึ่งทำงานเพื่อชาติเพื่อแผ่นดินมาตลอด ก็ ‘พ้นพงหนาม’ ชีวิตไปได้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งตั้งแต่เกิดเรื่อง ผมได้เขียนบทความถล่มไอ้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดนี้อย่างไม่มีความเกรงอกเกรงใจ ทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์ และเว็บไซด์ของตัวเอง (ดูบทความ สุดกังขา…นายวิชา มหาคุณ!!! http://vattavan.com/detail.php?cont_id=146)
ทั้งนี้ เพราะผมเห็นว่าคณะกรรมการโลซก ไม่ตรงไปตรงมา เพราะถ้าเป็นคดีของฝ่ายพรรคประชาธิเปรต ไอ้กรรมการชุดนี้ มันจะเร่งดำเนินการนัก แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้กล่าวหาบ้าง พวกมันกลับดำเนินการอย่างล่าช้า?
ยิ่งไปกว่านั้น...
คดีที่นักการเมืองพรรคร่วมรัฐบาล เป็นผู้ถูกกล่าวหา เช่น คดีทุจริตทางด่วน คดีทุจริตคดีทุจริตโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน ก็จวนขาดอายุความ หรือข้อหาเล็กๆ อาจขาดไปแล้ว
คดีหลังนี่ นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช.ผู้รับผิดชอบออกมาให้ข่าวยืนยัน เมื่อ 22 ต.ค.2553 ว่า
จะเสร็จสิ้นภายในปีที่ผ่านมา
แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เสร็จตามคำแถลง แถมยังมีข่าว ซึ่งไม่ทราบว่านายวิชัยฯ รู้หรือเปล่าว่าการพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่ ให้หน่วงเหนี่ยว หรือชะลอเรื่องเอาไว้
หึ่งออกมาอีก!
ที่ผมเห็นว่าเป็นความ “ระยำสุดๆ” คือ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้ ปล่อยให้คดีใหญ่มาก อย่างคดีธนาคารอาคารสงเคราะห์ขาดอายุความ ซึ่งผมได้เรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติ พิจารณาถอดถอนคณะกรรมการดังกล่าว ออกจากตำแหน่งเสียทั้งหมด (เว้นแต่ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาใหม่) เพราะถือว่า
กรรมการชุดนี้ ขาดสมรรถภาพ ในการเป็นเจ้าหน้าที่สำคัญของรัฐ อีกทั้งยังได้กระทำความผิดอาญาอีกด้วย
ผมจะไม่เล่าซ้ำ เพราะขนาดเขียนด่าว่า เป็นคณะกรรมการ “โลซก”
ไอ้พวกนี้ มันยัง ‘หน้าด้าน’ อยู่กันได้!
(กรณาดูบทความที่เกี่ยวข้องประกอบ “ซุปเปอร์...จังไร” http://vattavan.com/detail.php?cont_id=246
ป.ป.ช.โลซก! (ไม่มีปัญญาจัดการ กะอีแค่ ‘คดีดินสอหนีบตูด’!!) http://vattavan.com/detail.php?cont_id=247)
หากผมเป็นรัฐบาลในตอนนี้ จะต้องให้ตำรวจกลับมามีบทบาทสอบสวนคดีทุจริต เพราะในขณะนี้การสอบสวนคดีลักษณะดังกล่าว กำลังเสียหายอย่างร้ายแรง และตั้งแต่พรรคประชาธิเปรตวิ่งราวอำนาจมาได้ การทุจริตของรัฐบาล ก็เริ่มอย่างฉับพลันทันที และกระจายไปในแทบทุกกระทรวงทบวงกรม อย่างที่ผมบรรยายเอาไว้ ในข้อเขียนหลายต่อหลายตอน
แม้มันยากที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในเรื่องการสอบสวนคดีทุจริต เพราะดันไปถวายอำนาจ ให้ไอ้องค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. ซึ่งพวกมันได้ก่อความเสียหายร้ายแรง ชนิดอัปรีย์ต้องเรียก “พี่”
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำให้ “ตำรวจ” กลับมาสอบสวนคดีประเภทนี้อีกให้ได้!
ต้องขอให้ฝ่ายนิติบัญญัติ นักกฎหมาย และนักวิชาการ ทั้งหลาย จงช่วยกันตรองดู แล้วท่านจะเห็นจริงตามที่ผมแนะนำ
เมื่อตอนเรียนกฎหมายใหม่ๆ ได้รับการสั่งสอนการดำเนินคดีหรือตัดสินคดีความต่างๆ จะต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็ว และมีภาษิตกฎหมาย ที่ดูเหมือนจะกลายเป็น Cliché ไปแล้ว เพราะว่าได้ยินกันซ้ำๆซากๆ ว่า
"Justice delay is Justice Deny"
หรือความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม เป็นการปฏิเสธความยุติธรรม แต่ไอ้ คณะป.ป.ช.ที่ผมเห็นว่าเลวร้ายชุดนี้ นั่นมันไม่ได้แค่ล่าช้านะ เพราะมันปล่อยคดีขาดอายุความไปเฉยๆเลย ซึ่งเป็นเหตุให้รัฐเสียหาย ทำให้คนผิดยังลำพอง และเสวยสุขจากเงินที่เอาไปจากพี่น้องประชาชน
แล้วอย่างนี้ ประชาชนอย่างพวกเรา จะไปไว้ใจไอ้พวกเวรนี่ ให้มันทำหน้าที่ต่อไป...ได้อย่างไรกัน?
ผมเคยเรียกร้อง ให้บรรดาผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิกทั้งหลาย ช่วยกันลงนาม ในหนังสือยื่นรายชื่อถอดถอน ไอ้คณะกรรมการ ป.ป.ช. หอกหักหนักแผ่นดินชุดนี้ ให้พ้นจากหน้าที่ไปเสียโดยเร็ว พร้อมกับส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง
ให้ดำเนินคดีกับ ไอ้พวกโลซกนี้ โดยด่วนด้วย!
มาถึงวันนี้ แม้จะยังไม่มีการเคลื่อนไหว เพื่อถอดถอนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชุดที่ “ไอ้บัง กบฏ” มันแต่งตั้งนี้ก็ตาม แต่การที่พวกมัน ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในตำแหน่งนั้น ผมจึงต้องขอตะโกน บอกพี่น้องว่า...
“พวกมันหน้าด้าน...ชิบหายเลย!!”
**********
(คอลัมน์ การสอบสวนคดีทุจริต...ประสิทธิภาพที่ต่ำทราม! ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 15 มกราคม พ.ศ.2554)