ที่มา บางกอกทูเดย์
'บิ๊กรัฐบาล'โดดชิ่งเป็นแถว!
ซ้ำเติม'7 คนไทย'รุกล้ำจริง?
มาถึงวันนี้คงเห็นแล้วว่า การช่วยเหลือ 7 คนไทยที่ติดคุกเขมรอยู่ในเวลานี้... เพียงแค่ลีลาโวหาร และการเต้นฟุตเวิร์คของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้
เนื่องจากแนวทางของเรื่องในขณะนี้ ถึงเวลาต้องยอมรับความเป็นจริงว่า เป็นสถานการณ์ที่ไทยเพลี่ยงพล้ำ เป็นสถานการณ์ที่ 7 คนไทยเสียเปรียบอย่างมากในรูปคดี
ประการแรก คงยังจำกันได้ดีว่า นับตั้งแต่วันแรกที่ 7 คนไทยโดนจับ ไล่มาตั้งแต่นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ต่างก็ออกมาพูดสอดคล้องกันว่า ถูกจับในพื้นที่กัมพูชา
ไม่เสียเปรียบก็แปลกไปแล้ว
ประการที่ 2 ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ มีการถ่ายทำคลิปในช่วงลงพื้นที่ของคณะนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประ ชาธิปัตย์ เอาไว้ตลอด แถมมีการพูดคุยกัน พูดใส่คลิป รวมกระทั่งโทรศัพท์ ที่ยิ่งทำให้เสียเปรียบมากขึ้น เพราะโทนของคลิปเป็นลักษณะของการรับรู้ว่าพื้นที่ตรงไหนเป็นฝั่งไทย ตรงไหนเป็นฝั่งกัมพูชา
ประการที่ 3 ท่าทีของคนในรัฐบาลไทยในช่วงแรก มีการแสดงอาการแข็งกร้าวใส่ทางกัมพูชาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการขีดเส้นในเรื่องวัน ซึ่งถือป็นท่าทีที่ทำให้เรื่องยุ่งยากกว่าที่ควรจะเป็น เพราะที่ผ่านมารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ ก็ไม่ได้มีสัมพธภาพระหว่างประเทศที่ราบรื่นนักกับรัฐบาลกัมพูชา ของสมเด็จ ฮุนเซน
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการแต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ จากกลุ่มม็อบพันธมิตร เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
ประการที่ 4 ในเรื่องของการกำหนด “คอนเนกชั่น”เพื่อใช้ในการติดต่อขอความเห็นใจ ขอความร่วมมือช่วยเหลือจาก สมเด็จฯ ฮุนเซน ยังมีอาการกั๊กและดื้อดึงที่จะใช้คอนเนกชั่นที่เข้าใจเอาเองว่ามี เพราะเพิ่งได้มีโอกาสในการเจรจาพูดคุยร่วมกันมา
โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่า การพบปะกันในเวทีอาเซียนนั้น เป็นเรื่องของการรักษามารยาทของบรรยากาศการประชุมร่วมกันเท่านั้นเอง
ซึ่งประเด็นนี้แรงกดดันน่าจะเนื่องมาจากมีการเปรียบเทียบไปถึงกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งมีการเสนอให้มีการขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณช่วย
เลยกลายเป็นเรื่องทิฐิ ที่ต้องฮึด และทำให้กลายเป็นเสียของไปอย่างน่าเสียดาย
เพราะนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ากรณีที่สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระบุว่ามีการโทรศัพท์ไปหานับสิบสายว่ารัฐบาลไทยได้ติดต่อเพื่อช่วยเหลือคนไทยมาตั้งแต่ต้น เป็นข้อมูลที่ตรงกัน
ซึ่งการที่ สมเด็จฯ ฮุนเซน ๆไม่ยอมรับสาย ก็สะท้อนนัยยะของระดับความสัมพันธ์ได้เป็นอย่างดี ว่าที่ผ่านมารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ คิดเอาเองหรือไม่?
และเรื่องนี้เองที่นำไปสู่ประเด็นที่ 5 ก็คือการที่ สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินทางไปมอบประกานียบัตรให้แก่นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาในสถาบันการศึกษาแห่งชาติ กลางกรุงพนมเปญ และกล่าวสุนทรพจน์ตอนหนึ่งมีใจความพาดพิงกับกรณีทหารกัมพูชาจับกุมตัว 7 คนไทย
โดยสมเด็จฯ ฮุนเซนระบุว่า คนไทยหัวแข็งทั้ง 7 คน ได้สั่งการชัดเจนแล้วว่าไม่มีใครสามารถช่วยเหลือกรณีนี้ได้
"ผมไม่อยากพูดให้มีผลกระทบต่อกระบวนการพิจารณาของศาลเพราะเป็นดุลพินิจของศาลเท่านั้น หลังจากศาลมีคำพิพากษา ฝ่ายผู้ที่ศาลพิพากษาว่ากระทำผิดจะยื่นคำร้องอุทธรณ์อย่างไร และศาลอุทธรณ์พิพากษาออกมาแล้ว ถ้าไม่พอใจ ผู้กระทำผิดสามารถร้องต่อศาลสูงได้
ขอให้ศาลดำเนินการ อย่ามาแถลงการณ์เยอะแยะ ผมขอฝากคำพูดนี้ ถ้าออกแถลงการณ์มากๆ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมายกัมพูชา หวังว่าทุกฝ่ายที่สนใจในคดีนี้ต้องเข้าใจ ไม่มีผู้ใดจะมาเรียกร้องให้ปล่อยตัวได้ เพราะกระ บวนการเข้าสู่ศาลแล้ว กฎหมายคือกฎหมาย ศาลคือศาล รัฐบาลกัมพูชาไม่อาจไปบังคับอย่างนี้อย่างนั้นได้เพื่อให้แก้ไขเป็นการเมือง ทำไม่ได้
ผมได้ประกาศตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม ฉะนั้นจึงไม่อยากพูด เงียบไว้ดีกว่าเพราะเป็นเรื่องที่ต้องเงียบ หากว่าเรื่องนี้อยู่ในกำมือของรัฐบาลเช่น ทหาร ตำรวจ หรือข้าราชการที่ไม่ใช่เรื่องของศาล เราทำได้แล้ว แต่เรื่องนี้อยู่ในกำมือของศาล เราต้องเงียบดีกว่าพูด" สมเด็จฯ ฮุนเซนกล่าว
ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะประสานขอความช่วยเหลือให้กัมพูชาปล่อยตัวคนไทยทั้ง 7 คนนั้น สมเด็จฯ ฮุนเซน กล่าวว่า ไม่ได้หรอก มาจากฝ่ายไหนก็ไม่ได้ แม้กระทั่งองค์การนานาชาติก็ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของศาล
อย่ามาพูดข่มขู่ว่า ปล่อยโดยไม่มีเงื่อนไข การทำแถลงการณ์บางครั้งนำไปสู่ความยุ่งยากในภายภาคหน้า เพราะเราต้องเคารพกฎหมายหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว ผู้กระทำผิดต้องติดคุกสองในสามของบทลงโทษ จึงจะแสวงหาช่องทางช่วยเหลืออภัยโทษ
"ตรงนี้ผมพูดเป็นข้อกฎหมาย ฉะนั้นผมจึงไม่มีความสามารถจะช่วยเหลือคดี ชั่วโมงนี้คือไม่ได้”
เป็นการปิดประตูของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา หรือไม่ รัฐบาลไทยควรจะต้องรู้ ... และยิ่งจำเป็นจะต้องทบทวนให้หนักว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้พลาด
เพราะเจอคำพูดผ่าซากเปรี้ยงออกมาแบบนี้ แม้แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ยังต้องหลบฉากวูบ ว่าคงเป็นการพูดไปตามหลักการของสมเด็จฯ ฮุนเซน
“คงต้องแยกระหว่างไมตรี มิตรภาพ และการดำเนินการตามกฎหมาย ในกระบวนการของศาลกัมพูชา ก็ต้องให้เขาดำเนินการจบสิ้นก่อน ตั้งแต่มีเหตุการณ์ ทุกฝ่ายได้พยายามให้ความช่วยเหลือ การตั้งทนายต่อสู้คดี” นายสุเทพกล่าว
ประเด็นที่ 6 ซึ่งสะท้อนชัดว่าหากเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่มีลับลามคมนัย ไม่ใช่เรื่องที่มีการจัดฉากลับ ลวง พราง จริงๆล่ะก็ ต้องถือว่าเป็นการขาดเอกภาพในการช่วยเหลือจริง เนื่องจากจนถึงวันนี้แล้ว ประเด็นเรื่องพื้นที่ที่ถูกจับกุมคนไทยด้วยกันเองก็ยังเถียงกันไม่จบ!!!
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรมว.ต่างประเทศ ยังมีการสวน หรือแลกหมัดกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯ แถลงพร้อมนำแผนที่และข้อมูลพิกัดที่คนไทยถูกจับกุมโดยอ้างว่าอยู่ในพื้นที่ฝั่งไทย ว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะบ้านหนองจาน ที่ทางพันธมิตรฯกล่าวอ้างนั้น ในอดีตทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาก็มีพื้นที่ชื่อนี้ด้วยกันทั้งคู่
อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า จุดอ่อนประเด็นที่ 7 ก็คือ มีรายงานข่าวจากสื่อท้องถิ่นของกัมพูชา หนังสือพิมพ์กัมโบเดียเดลี่ เปิดเผยผลการไต่สวนของผู้พิพากษาว่า คนไทยทั้ง 7 คนให้การรับสารภาพว่ารุกล้ำเข้าไปในดินแดนของฝ่ายกัมพูชาจริง
โดยนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประ ชาธิปัตย์ ให้การต่อศาลในชั้นไต่สวนว่า รุกล้ำดินแดนกัมพูชาจริง แต่ไม่ได้ตั้งใจ
สอดรับด้วยประเด็นที่ 8 ซึ่ง นายถวิล เปลี่ยนสี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ออกมาระบุว่า การพิจารณาคดี 7 คนไทยซึ่งถูกทางการกัมพูชาจับตัวไปนั้น ต้องขึ้นอยู่กับศาลกัมพูชา ขอให้ทุกฝ่ายมั่นใจในเจ้าหน้าที่รัฐ ที่จะดูเเลผลประโยชน์ของคนไทยเเละผลประโยชน์ของชาติ เเละยืนยันว่าไม่มีการเสียดินเเดน เเละยังไม่มีการปักปันเขตเเดนร่วมกัน
และอ้างว่ามีข้อมูลชัดเจนว่าคนไทยทั้ง 7 คน ไม่มีเจตนารุกล้ำเขตเเดน เพราะไม่มีการพกพาอาวุธ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหารเเละกระทรวงการต่างประเทศ กำลังเร่งทำงานอยู่
ซึ่งการใช้ข้ออ้างว่าไม่มีเจตนาบุกรุกในการสู้คดี ซึ่งอาจจะสามารถช่วยผ่อนหนักให้เป็นเยาได้ก็จริง แต่ขณะเดียวกันนั่นก็คือ การยอมรับว่ามีการุกล้ำเข้าไปในเขตกัมพูชาจริง
เหนื่อย... บอกได้เลยว่าเหนื่อย
และไม่แปลกที่ล่าสุดอัยการกัมพูชา ได้มีการแจ้งข้อหา พยายามประมวลข่าวสาร ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการป้องกันประเทศ ตามมาตรา 27 และ มาตรา 446 ของกฎหมายกัมพูชา เพิ่มกับนายวีระ สมความคิด และน.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์
โดยศาลนัดไต่สวนเพิ่มเติมเฉพาะ 2 คนนี้ในเช้าวันนี้ (12 ม.ค.) ซึ่งการเพิ่มข้อหาครั้งนี้ จะทำให้การช่วยเหลือบุคคลทั้ง 2 ทำได้ยากมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการขอประกันตัว
เจอแค่จุดอ่อน 8 ประเด็น 8 ดอกตอกเข้าไปขนาดนี้ คงได้แต่ต้องรอดูว่าสุดท้ายโชคชะตาของ 7 คนนั้นจะเป็นอย่างไร???
แต่ที่แน่ๆ คไม่ต้องถามแล้วว่า รัฐบาลทำงานเป็นหรือไม่ในการช่วยเหลือคนไทย!!!
ก็หลักฐานมีให้เห็นอยู่ทนโท่แบบนี้แล้ว ใครจะยังคิดว่ารัฐบาลมาร์คทำงานเป็น... ก็ตามใจแล้ว