ที่มา thaifreenews
โดย bozo
เรียบเรียงโดย Nangfa
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ลัทธินำตน
โดย กาหลิบ
จำนวนมวลชนอันมหาศาลที่แยกราชประสงค์
ซึ่งเป็นภาพประทับใจของวันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๔ คือ
หลักฐานยืนยันว่า
ขบวนประชาธิปไตยเลิกยึดกับตัวผู้นำ และรวมตัวกันด้วยอุดมการณ์อย่างแท้จริง
แล้วก็ไม่ได้ขึ้นกับองค์กรนำด้วย
เพราะองค์กร (ที่ว่า) นำอยู่ในขณะนี้ยังส่งสัญญาณที่สลับสับสนอยู่
ไม่มีความแน่ชัดเลยว่าจุดยืนในปัจจุบันเป็นอย่างไรแน่ อย่าว่าแต่อนาคตเลย
คงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย
ในการจัดตั้งตัวเองเสียก่อนจะไปจัดตั้งมวลชนในระดับต่อไปได้
แต่มวลชนมิได้ถอยหลังไปเพราะเหตุที่ว่านี้เลย
กลับมุ่งมั่นเดินหน้าเพื่ออนาคตต่อไปอย่างน่าชื่นใจ
และคงจะน่าหวาดกลัวสำหรับฝ่ายตรงข้ามที่นึกว่า
ฆ่าแล้ว
ขังแล้ว
ทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณและ
ยึดทรัพย์สินที่เขาหามาด้วยความบริสุทธิ์แล้ว
ขบวนการน่าจะหดตัวลงไปจนไร้พลัง ที่ไหนได้
นัดใหม่เมื่อใด
ก็จะเห็นสีแดงเบ่งบานเต็มถนนหนทางและแน่นขนัดไปทั่วบ้านทั่วเมือง
ถ้ายังไม่ทุพพลภาพขนาดปัญญาอ่อน เขาคนนั้นก็ต้องรู้ว่างานนี้ประชาชนเอาจริง
โดยปราศจากความกลัว ความลังเล และผลประโยชน์ส่วนตัว
ไม่ว่าจะทางตรงหรืออ้อม
โอกาสในการต่ออายุของลัทธิปิศาจก็คงจะลดน้อยถอยลงไปตามกรรม
สังเกตภาพรวมและความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้แล้ว
ก็น่าจะเรียกปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ว่า
“ลัทธินำตน” หรือ “Doctrine of Self-Governing”
ตรงข้ามกับลัทธิบูชาบุคคลที่ครอบงำสังคมไทยมานานนับร้อยปี
ผู้ที่จิตใจไม่เข้มแข็ง
หรือขาดอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่จะทำให้เกิดเคารพนับถือในตัวเอง
ก็มักไขว่คว้าหาสิ่งที่เชื่อว่าเข้มแข็งกว่า ทรงพลังกว่า และดีเลิศประเสริฐศรีมากกกอดไว้
บ้างถือเทพ
บ้างก็ถือผี
บ้างก็หลุดหายเข้าไปในไสยศาสตร์ (ซึ่งแปลว่าศาสตร์แห่งความมืดดำ)
บ้างก็ยึดถือสิ่งที่นึกว่าเป็นศาสนธรรม
แต่ความจริงเป็นความยึดมั่นถือมั่นกับเปลือกกับกระพี้ จนหลงใหลใฝ่ฝัน
กลายเป็นปัญหาใหม่ที่เรียกกันว่า ติดดี
แต่หนักที่สุดคือ
ลัทธินี้ได้ชักนำคนไทยไปสู่ความยึดมั่นถือมั่นกับตัวบุคคล
ในทางการเมืองจนไม่อาจมองเห็นหลักประชาธิปไตย
และศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเองได้เลย
เพราะบุคคลนั้นๆ ตั้งตัวขึ้นเป็นมาตรฐานแห่งความดีและความจริงของสังคม
ยกตัวเองจนเหนือกว่ากฎธรรมชาติ นานเข้าผู้คนก็เริ่มลืมว่า
เขาเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อเหมือนกับคนอื่นๆ แถมมองไม่เห็นว่า
มีอกุศลมูลหนักหนาอยู่ในตัวมากกว่าผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไปเสียด้วยซ้ำ
การดำรงอยู่ของผู้วิเศษทางการเมือง
ทำให้เกิดลัทธิประหลาดขึ้นในเมืองไทย ขัดหลักธรรมชาติ
และหลักประชาธิปไตยทุกข้อ แม้กระทั่งสำหรับพุทธศาสนิกชนที่แท้
ลัทธิของเขาคนนี้ก็ขัดอย่างจังต่อธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือพุทธธรรม เรียกว่าหาอะไรที่สัมพันธ์กับความเป็นอารยะมิได้เลย
ต่อมาเมื่อผู้คนก้าวหน้าและเรียนรู้ดีขึ้น
ก็กลับมีผู้นำอื่นๆ ที่อยากเลียนแบบดารา ยกตัวเองขึ้นเป็นผู้นำการเมืองในขั้นเทพ
หรือใครก็ตามที่เหนือกว่าคนธรรมดาสามัญ
ทำความผิดซ้ำซากจนสังคมไทยถูกบังคับให้กระโดดจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
ยึดมั่นกับตัวบุคคลต่อไปอย่างกบเลือกนาย
จึงเกิดผู้นำการเมืองรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมานำพรรคการเมือง รัฐบาล
และแม้กระทั่งในเวทีชุมนุมประท้วง
โชคดีที่กรรมของแต่ละคนพาให้ภาพมายาเหล่านี้หลุดหายไปทีละภาพทีละแผ่น
มวลชนคนเสื้อแดงผู้ผ่านทั้งความผิดหวังและสมหวังมานานปี
จึงกำหนดใจตนเองเสียใหม่ว่า จะยึดเอาแนวทางเป็นหลักและเอาตัวบุคคลเป็นรอง
กิจกรรมส่วนตัวจึงค่อยๆ ยกระดับขึ้นเป็นกิจกรรมส่วนรวม
การต่อสู้ทางการเมืองจึงขยายจากกิจกรรมเพื่อกลุ่ม
เพื่อพวกมาสู่การรณรงค์ที่เป็นสาธารณะ
การรวมตัวของคนเสื้อแดงจึงยิ่งใหญ่ตระการตา
โดยไม่ต้องรอให้ผู้นำพร้อมนำ
ตรงกันข้ามผู้อยากนำจะต้องก้าวให้ทันมวลชนที่เดินหน้าเต็มตัวอย่างทหารหาญ
และนำเสนอแนวทางการเมือง
ที่มวลชนเขาเห็นว่าก้าวหน้าและไม่ด้อยพัฒนาเหมือนในอดีต
ราชประสงค์เนืองแน่นในคืนนั้นมิใช่ด้วยลัทธิบูชาบุคคล แต่เป็นลัทธินำตนโดยแท้.
http://democracy100percent.blogspot.com/2011/01/blog-post_10.html
คอลัมน์ เมืองไทยหรือเมืองใคร?
เรื่อง ลัทธินำตน
โดย กาหลิบ
จำนวนมวลชนอันมหาศาลที่แยกราชประสงค์
ซึ่งเป็นภาพประทับใจของวันอาทิตย์ที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๔ คือ
หลักฐานยืนยันว่า
ขบวนประชาธิปไตยเลิกยึดกับตัวผู้นำ และรวมตัวกันด้วยอุดมการณ์อย่างแท้จริง
แล้วก็ไม่ได้ขึ้นกับองค์กรนำด้วย
เพราะองค์กร (ที่ว่า) นำอยู่ในขณะนี้ยังส่งสัญญาณที่สลับสับสนอยู่
ไม่มีความแน่ชัดเลยว่าจุดยืนในปัจจุบันเป็นอย่างไรแน่ อย่าว่าแต่อนาคตเลย
คงต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย
ในการจัดตั้งตัวเองเสียก่อนจะไปจัดตั้งมวลชนในระดับต่อไปได้
แต่มวลชนมิได้ถอยหลังไปเพราะเหตุที่ว่านี้เลย
กลับมุ่งมั่นเดินหน้าเพื่ออนาคตต่อไปอย่างน่าชื่นใจ
และคงจะน่าหวาดกลัวสำหรับฝ่ายตรงข้ามที่นึกว่า
ฆ่าแล้ว
ขังแล้ว
ทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณและ
ยึดทรัพย์สินที่เขาหามาด้วยความบริสุทธิ์แล้ว
ขบวนการน่าจะหดตัวลงไปจนไร้พลัง ที่ไหนได้
นัดใหม่เมื่อใด
ก็จะเห็นสีแดงเบ่งบานเต็มถนนหนทางและแน่นขนัดไปทั่วบ้านทั่วเมือง
ถ้ายังไม่ทุพพลภาพขนาดปัญญาอ่อน เขาคนนั้นก็ต้องรู้ว่างานนี้ประชาชนเอาจริง
โดยปราศจากความกลัว ความลังเล และผลประโยชน์ส่วนตัว
ไม่ว่าจะทางตรงหรืออ้อม
โอกาสในการต่ออายุของลัทธิปิศาจก็คงจะลดน้อยถอยลงไปตามกรรม
สังเกตภาพรวมและความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้แล้ว
ก็น่าจะเรียกปรากฏการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ว่า
“ลัทธินำตน” หรือ “Doctrine of Self-Governing”
ตรงข้ามกับลัทธิบูชาบุคคลที่ครอบงำสังคมไทยมานานนับร้อยปี
ผู้ที่จิตใจไม่เข้มแข็ง
หรือขาดอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่จะทำให้เกิดเคารพนับถือในตัวเอง
ก็มักไขว่คว้าหาสิ่งที่เชื่อว่าเข้มแข็งกว่า ทรงพลังกว่า และดีเลิศประเสริฐศรีมากกกอดไว้
บ้างถือเทพ
บ้างก็ถือผี
บ้างก็หลุดหายเข้าไปในไสยศาสตร์ (ซึ่งแปลว่าศาสตร์แห่งความมืดดำ)
บ้างก็ยึดถือสิ่งที่นึกว่าเป็นศาสนธรรม
แต่ความจริงเป็นความยึดมั่นถือมั่นกับเปลือกกับกระพี้ จนหลงใหลใฝ่ฝัน
กลายเป็นปัญหาใหม่ที่เรียกกันว่า ติดดี
แต่หนักที่สุดคือ
ลัทธินี้ได้ชักนำคนไทยไปสู่ความยึดมั่นถือมั่นกับตัวบุคคล
ในทางการเมืองจนไม่อาจมองเห็นหลักประชาธิปไตย
และศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเองได้เลย
เพราะบุคคลนั้นๆ ตั้งตัวขึ้นเป็นมาตรฐานแห่งความดีและความจริงของสังคม
ยกตัวเองจนเหนือกว่ากฎธรรมชาติ นานเข้าผู้คนก็เริ่มลืมว่า
เขาเป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อเหมือนกับคนอื่นๆ แถมมองไม่เห็นว่า
มีอกุศลมูลหนักหนาอยู่ในตัวมากกว่าผู้ปฏิบัติธรรมทั่วไปเสียด้วยซ้ำ
การดำรงอยู่ของผู้วิเศษทางการเมือง
ทำให้เกิดลัทธิประหลาดขึ้นในเมืองไทย ขัดหลักธรรมชาติ
และหลักประชาธิปไตยทุกข้อ แม้กระทั่งสำหรับพุทธศาสนิกชนที่แท้
ลัทธิของเขาคนนี้ก็ขัดอย่างจังต่อธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือพุทธธรรม เรียกว่าหาอะไรที่สัมพันธ์กับความเป็นอารยะมิได้เลย
ต่อมาเมื่อผู้คนก้าวหน้าและเรียนรู้ดีขึ้น
ก็กลับมีผู้นำอื่นๆ ที่อยากเลียนแบบดารา ยกตัวเองขึ้นเป็นผู้นำการเมืองในขั้นเทพ
หรือใครก็ตามที่เหนือกว่าคนธรรมดาสามัญ
ทำความผิดซ้ำซากจนสังคมไทยถูกบังคับให้กระโดดจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
ยึดมั่นกับตัวบุคคลต่อไปอย่างกบเลือกนาย
จึงเกิดผู้นำการเมืองรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมานำพรรคการเมือง รัฐบาล
และแม้กระทั่งในเวทีชุมนุมประท้วง
โชคดีที่กรรมของแต่ละคนพาให้ภาพมายาเหล่านี้หลุดหายไปทีละภาพทีละแผ่น
มวลชนคนเสื้อแดงผู้ผ่านทั้งความผิดหวังและสมหวังมานานปี
จึงกำหนดใจตนเองเสียใหม่ว่า จะยึดเอาแนวทางเป็นหลักและเอาตัวบุคคลเป็นรอง
กิจกรรมส่วนตัวจึงค่อยๆ ยกระดับขึ้นเป็นกิจกรรมส่วนรวม
การต่อสู้ทางการเมืองจึงขยายจากกิจกรรมเพื่อกลุ่ม
เพื่อพวกมาสู่การรณรงค์ที่เป็นสาธารณะ
การรวมตัวของคนเสื้อแดงจึงยิ่งใหญ่ตระการตา
โดยไม่ต้องรอให้ผู้นำพร้อมนำ
ตรงกันข้ามผู้อยากนำจะต้องก้าวให้ทันมวลชนที่เดินหน้าเต็มตัวอย่างทหารหาญ
และนำเสนอแนวทางการเมือง
ที่มวลชนเขาเห็นว่าก้าวหน้าและไม่ด้อยพัฒนาเหมือนในอดีต
ราชประสงค์เนืองแน่นในคืนนั้นมิใช่ด้วยลัทธิบูชาบุคคล แต่เป็นลัทธินำตนโดยแท้.
http://democracy100percent.blogspot.com/2011/01/blog-post_10.html