WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, January 11, 2011

ประเทศไทยทำลายชื่อเสียงตนเองด้านผู้ลี้ภัยอีกครั้ง

ที่มา ประชาไท

Déjà vu เป็นคำฝรั่งเศส หมายถึงอะไรที่ “เคยเกิดขึ้นมาแล้ว” Refoulement ก็เป็นคำฝรั่งเศส ความหมายตรง ๆ ก็คือ “บังคับให้กลับ” หลังได้รับรายงานที่ออกเมื่อวันคริสต์มาสว่าทางการไทยเพิ่งจะผลักดันผู้ลี้ภัย 166 คนกลับพม่า ผมรู้ทันทีว่าเคยเห็นเรื่องนี้เกิดขึ้นมาก่อน อันที่จริงก็เกิดขึ้นเมื่อวันคริสต์มาสเมื่อปี 2552 นี่เอง

อันที่จริงแล้ว เมื่อหนึ่งปีก่อนในช่วงสุดสัปดาห์ เพื่อนร่วมงานและผมได้เขียนบทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์วิจารณ์สถิติของการคุ้มครองผู้ลี้ภัยในปี 2552 ของรัฐบาลไทย ในช่วงปลายธันวาคม ซึ่งน่าจะเป็นช่วงสัปดาห์ที่เนิ่นช้าสุดของปี กองทัพบกไทยก็ได้ส่งกลับชาวม้งจำนวน 4,500 คนไปยังประเทศลาว ในจำนวนนั้นมีอยู่ 158 คน ซึ่งได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัย และอีกหลายคนเป็นผู้แสวงหาที่พักพิง

หนึ่งปีต่อมา แม้ข้อเท็จจริงบางอย่างจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่ทางการไทยก็ได้ผลักดันผู้ลี้ภัย 166 คนกลับไปเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม โดยที่พวกเขาหลบหนีการสู้รบระหว่างกองกำลังรัฐบาลพม่าและกลุ่มติดอาวุธของชนกลุ่มน้อยในภาคตะวันออกของพม่ามา ในจำนวนนี้ 120 คนเป็นผู้หญิงและเด็ก พวกเขามาหลบภัยอยู่ที่หมู่บ้านวาเล่ย์ อำเภอพบพระ จังหวัดตาก และเป็นจุดเดียวกับที่เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา ทางการไทยก็ได้ผลักดันผู้ลี้ภัยชาวพม่าออกไปอย่างน้อย 360 คน เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ก็ผลักดันออกไปประมาณ 650 คน และเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ก็ผลักดันออกไปประมาณ 2,500 คน

ในช่วงเวลาเดียวกันของปลายปี การละเมิดสิทธิมนุษยชนยังคงเกิดขึ้นเหมือนเดิม ทุกคนมีสิทธิแสวงหาที่พักพิง ผู้ที่ได้รับสถานะผู้ลี้ภัยมีสิทธิที่จะไม่ถูกส่งกลับไปยังพื้นที่ที่มีการต่อสู้หรือมีการคุกคาม หรือที่เรียกว่าหลักการไม่ส่งกลับ (non-refoulement) แต่รัฐบาลไทยปฏิเสธไม่ยอมรับสิทธิของผู้ลี้ภัย 166 คนจากพม่า ทั้ง ๆ ที่มีสถานะเป็นผู้ลี้ภัยตามการรับรองของหน่วยงานด้านผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR) การที่รัฐบาลไทยไม่ให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติไม่ใช่ข้ออ้าง เนื่องจากเช่นเดียวกับข้อห้ามต่อการทรมาน หลักการไม่ส่งกลับเป็นกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ หมายถึงว่ามีผลบังคับใช้ต่อทุกรัฐไม่ว่าจะมีพันธกรณีตามสนธิสัญญาหรือไม่ก็ตาม อีกครั้งหนึ่งที่ประเทศไทยได้ละเมิดกฎหมายผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศอย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา

แม้เหตุการณ์ที่เลวร้ายซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน การผลักดันผู้ลี้ภัยกลับครั้งนี้จึงเป็นเรื่องน่าตกอกตกใจ เพราะจริง ๆ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศของไทยประกาศปฏิเสธว่า ไม่มี “แผนจะส่งตัวผู้พลัดถิ่นกลับไปยังพม่าภายหลังการเลือกตั้ง (ในพม่า)” แต่ในวันเลือกตั้งนั้นเอง วันที่ 7 พฤศจิกายน ผู้ลี้ภัยกลุ่มแรกประมาณ 20,000 คนจากพม่าก็เดินทางเข้าสู่ประเทศไทย และในวันที่ 6 ธันวาคม แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ผลักดันกลับหลายครั้งก่อนหน้านั้น นายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดตากก็ได้ให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์ระบุว่าประเทศไทยจะไม่ส่งกลับผู้ลี้ภัยตราบที่การสู้รบยังดำเนินอยู่

น่าเสียดายที่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น แม้ว่าผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่จะเดินทางกลับไปพม่าแล้ว แต่อีกหลายคนอย่างเช่น 166 คนที่ต้องเดินทางกลับเมื่อวันคริสต์มาส พวกเขาเดินทางกลับอย่างไม่สมัครใจ และการสู้รบยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เพื่อนร่วมงานและผมได้เขียนเป็นข้อสรุปในบทความที่ตีพิมพ์เมื่อหนึ่งปีก่อนว่า “การที่ประเทศไทยไม่เคารพต่อพันธกรณีด้านกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นสิ่งที่ประชาคมนานาชาติไม่อาจเพิกเฉยละเลยได้” ผมคงไม่สามารถเขียนประโยคนี้ซ้ำอีก UNHCR ซึ่งออกแถลงการณ์เมื่อปลายธันวาคม เรียกร้องรัฐบาลไทยไม่ให้ผลักดันผู้ลี้ภัย 166 คนกลับ ควรประณามการกระทำครั้งนี้ และควรเน้นย้ำถึงข้อเรียกร้องซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้ลี้ภัยทั้งหมดที่ยังคงอยู่ในไทย หรือที่กำลังจะเข้ามาเพิ่มเติม สถานทูตต่าง ๆ ที่กรุงเทพฯ ก็ควรกระทำเช่นเดียวกัน ส่วนประเทศต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights Council) (ซึ่งรวมถึงประเทศไทยและโดยที่ทูตไทยประจำกรุงเจนีวาก็ดำรงตำแหน่งประธานของคณะมนตรีฯ) ก็ควรแสดงข้อกังวลต่อการละเมิดที่เกิดขึ้น

อันที่จริงแล้ว คงสายเกินไปสำหรับผู้ลี้ภัยชาวพม่า 166 คนที่ถูกผลักดันออกไปแล้ว เช่นเดียวกับผู้ลี้ภัยชาวม้งลาว 158 คนที่ออกไปเมื่อปีก่อนหน้า แต่สถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพม่า คงยังส่งผลให้มีผู้ลี้ภัยข้ามพรมแดนเข้ามาต่อไปในช่วงปี 2554 ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะขึ้นสู่อำนาจในไทย รัฐบาลไทยก็ควรยอมรับและปฏิบัติตามพันธกรณีด้านกฎหมายระหว่างประเทศที่ตนมี แม้จะเป็นการพูดย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกราวกับเป็นเรื่องราวด้านสิทธิมนุษยชนที่เคยรู้ว่าเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม