ที่มา ประชาไท
จากการที่แกนนำแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยื่นหนังสือให้เอาผิด พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา และนายอานันท์ ปันยารชุน หมิ่นเหม่ต่อสถาบันเบื้องสูง และดูหมิ่นองค์รัชทายาท เมื่อวันที่ 6 มกราคม นี้
การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของเสื้อแดงตกเป็นฝ่ายถูกกระทำตั้งแต่ การปิดกั้น โจมตีใส่ร้ายป้ายสี เอาผิดทางกฎหมาย จนถึงการใช้กำลังเข้าปราบปรามและเข่นฆ่า จึงไม่แปลกที่เสื้อแดงจะมีความไม่พอใจฝ่ายอำมาตยาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง จึงต้องแสวงหามาตรการตอบโต้
ในด้านกระบวนการยุติธรรม เสื้อแดงย่อมมีความรู้สึกไม่พอใจกับ “สองมาตรฐาน” ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำด้วยข้อหาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างจากข้อหาหมิ่นสถาบัน ในขณะที่ องคมนตรีได้มายุ่งเกี่ยวทางการเมืองและมีความเกี่ยวพันกับการรัฐประหาร 19 กันยายนที่ล้มล้างระบอบประชาธิปไตยและรัฐบาลจากการเลือกตั้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ไม่สามารถเอาผิดทางกฎหมายได้ ยิ่งเพิ่มความไม่พอใจต่อฝ่ายอำมาตยาธิปไตย
การยื่นข้อกล่าวหาดังกล่าวต่อ พล.อ.เปรม และผู้เกี่ยวข้อง เป็นการใช้ ม.112 เหมือนกับที่ นปช. และฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล เคยถูกกล่าวหาด้วยข้อหาเดียวกัน ข้อกล่าวหานี้ได้รับการใช้เพื่อขจัดฝ่ายตรงข้ามมาอย่างยาวนาน ด้วยวิธีการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ความรุนแรงสูงสุดคือ การใช้ข้อหาหมิ่นที่นำไปสู่เหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519
แต่ทว่า การใช้ ม.112 จะเป็นส่งเสริมการบ่อนทำลายประชาธิปไตยด้วยปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก ประการต่อมา การใช้ ม.112 จะทำลายเป้าหมายการสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์ ตามที่ นปช.เคยแถลงเป้าหมายการเคลื่อนไหว เพราะกำลังใช้เครื่องมือที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ประการที่สาม นปช.ไม่ควรเคลื่อนไหวด้วยการใช้วิธีการอะไรก็ได้ เพียงแต่ขอให้ได้รับชนะเป็นพอ โดยไม่คำนึงถึงหลักการประชาธิปไตย
เราจึงขอให้
1. นปช. ทบทวนและยุติการใช้ข้อหาหมิ่นสถาบัน กับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง
2. ข้อหาหมิ่นสถาบันต้องไม่ได้รับใช้ในกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองจากทุกฝ่าย
สมัชชาสังคมก้าวหน้า
10 มกราคม 2554