ที่มา thaifreenews
โดย bozo
“ผมต้องพูดแรงนิดหนึ่ง
ผมว่ากระทรวงการต่างประเทศคือกระทรวงขายชาติ ทุกวันนี้
คุณกษิต ภิรมย์ นี่ผมผิดหวังในตัวคุณกษิตมาก
คุณกษิต ภิรมย์ กับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ
รู้เห็นเป็นใจกันทุกเรื่อง
คุณกษิต ภิรมย์ ฉกฉวยโอกาสในช่วงของการชุมนุมพันธมิตรฯไปสร้างชื่อตัวเอง
สมัยคุณกษิต ภิรมย์ อยู่ก็ขึ้นเวทีด่าเขมร อย่างโน้นด่าเขมรอย่างนี้
วันนี้คุณกษิต ภิรมย์ ออกมาพูดในเรื่องนี้เป็นการปกป้องเขมรหมด”
นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
แสดงความไม่พอใจอย่างมากกับท่าทีของรัฐบาลและกองทัพ
ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ทางเอเอสทีวีเมื่อวันศุกร์ที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา
กรณีกัมพูชาจับ 7 คนไทย
ที่มีนายวีระ สมความคิด กับนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพฯ
พรรคประชาธิปัตย์ รวมอยู่ด้วย แต่ท่าทีของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
โดยเฉพาะนายวีระ สมความคิด กับนางราตรี ไพรพัฒนไพบูลย์ ถูกตั้งข้อหาเพิ่มว่า
พยายามประมวลข่าวสารซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการป้องกันประเทศ
ตามมาตรา 27 และมาตรา 446 ของกฎหมายกัมพูชา
“เป็นเรื่องที่เจ็บช้ำน้ำใจที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา เจ็บช้ำน้ำใจตรงไหนรู้ไหม
ตรงที่ว่าพอมีเรื่องแล้วรัฐบาลไทย ทหารไทย ข้าราชการไทย
นักการเมืองไทยไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีศักดิ์ศรี เหมือนกับว่า
เรายอมเขมรมันหมดทุกเรื่อง แล้วเขมรคือใคร ไอ้ประเทศซึ่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มัน
จนทุกวันนี้มันยังไม่สามารถจะหาธรรมาภิบาลในประเทศชาติของมันได้เลย”
นายสนธิยังถามว่า นายอภิสิทธิ์และ พล.อ.ประวิตรมีหัวใจเป็นคนไทยหรือเปล่า
“การที่เขมรจะเอาคนทีมคุณวีระ คุณพนิชไปขึ้นศาล
ถ้านายกรัฐมนตรีมีความเป็นลูกผู้ชายแล้วกล้าปกป้องประเทศไทย
ถ้า พล.อ.ประวิตรเป็นอดีตทหารเสือราชินี เป็นทหารจริงๆ มีจิตใจเป็นทหาร
ถ้านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เป็นคนไทยจริงๆ
ต้องประกาศให้ชัดเจนว่าคุณเอา 7 คนไปขึ้นศาลไม่ได้ เพราะนี่ดินแดนไทย
ต้องปล่อยออกมาเดี๋ยวนี้ ถ้าคุณไม่ปล่อยมีเรื่องกับเราทันที
เพราะนี่พื้นที่เรา บ้านเราเขาทำตรงกันข้าม
เขาไปเป็นพยานให้กับเขมรว่าคนไทยรุกดินแดนไทย นี่คุณหัวใจคนไทยหรือเปล่า”
ย้อนคดียิง “สนธิ”
คำพูดของนายสนธิยิ่งทำให้หลายคนต้องย้อนไปถึงการลอบสังหาร
นายสนธิเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2552 จนถึงวันนี้
ยังไม่สามารถจับคนยิงหรือคนบงการได้
อีกทั้งเรื่องยังเงียบหายไปอย่างน่าประหลาด
ทั้งที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ยืนยันว่าคดีนี้จะไม่เป็นมวยล้ม
หลังจากมีการออกหมายจับนายทหารชั้นประทวน
สังกัดศูนย์สงครามพิเศษ จังหวัดลพบุรี
ซึ่งมีการพยายามพาดพิงไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น
ขณะที่นายสนธิได้ออกมาแถลง
ถึงขบวนการสังหารตนเองหลังจากรักษาตัวและเก็บตัวเงียบมาระยะหนึ่ง
โดยยืนยันว่ามีผู้พยายามส่งเจ้าหน้าที่มาพูดคุยว่าผิดเป้าหรือไม่
แต่เชื่อว่าเป็นกฐินสามัคคี
ทั้งยังฝากถึงนายอภิสิทธิ์ว่าอย่าปกครองบ้านเมืองด้วยคำพูด
แต่ต้องจับคนยิงให้ได้
ไม่อย่างนั้นประเทศไทยก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านป่าเมืองเถื่อน
ที่ใครมีอำนาจ มีปืนก็ยิงใครก็ได้
“ขบวนการที่ยิงผม
เท่าที่ทราบมี 14 คน เป็นทหาร 13 คน เป็นตำรวจ 1 คน และทหาร
มีพื้นเพมาจากป่าหวายทั้งหมด
บางคนบอกว่าคนบางคนในดีเอสไอเป็นคนวางแผนฆ่าผม
แต่ผมบอกว่าคนในดีเอสไอคงจะไปสั่งทหารป่าหวายไม่ได้
ถ้าอย่างนั้นน่าจะเป็นกฐินสามัคคี
ผมไม่ติดใจอะไร จับได้ก็ได้ จับไม่ได้ต้องถือเป็นโชคร้ายของบ้านเมือง
คนอย่างผมถูกลอบสังหารได้
อย่างนายอภิสิทธิ์หรือสูงกว่านายกฯก็ต้องถูกสังหารได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เกือบตายเพราะ “สี”
การลอบสังหารนายสนธิครั้งนั้นเชื่อว่า
มาจากการปราศรัยที่อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2552 โดยนายสนธิได้พูดเป็นปริศนาเรื่องของ “สี”
ซึ่งเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า
“ทำไมต้องจับมือกับเนวิน (ชิดชอบ)
และใครไปบังคับให้พรรคร่วมรัฐบาลมาร่วมกับประชาธิปัตย์
ทำไมถึงมี “สีน้ำเงิน” มาฆ่า “สีแดง”
และ “สีฟ้า” ขอยืม “สีกากี” มาฆ่า “สีเหลือง”
และพี่น้องจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง อย่างลึกซึ้ง
เพราะว่าเรื่องพวกนี้ถ้าไม่อธิบายกันแบบป่าทั้งป่าจะไม่เข้าใจ
และผมอยากให้คนใต้ที่ไม่ชอบผมตอนนี้ให้ตั้งใจฟังดีๆ
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ได้ยืนบนเวที
หรือยืนบนพระแม่ธรณีเพื่อให้คนชอบหรือไม่ชอบ
แต่นายสนธิจะยืนอยู่บนความถูกต้อง”
นับตั้งแต่นั้นมานายสนธิก็ประกาศแตกหักกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างชัดเจน
เพราะแม้แต่ “เปลวสีเงิน” คอลัมนิสต์ชื่อดังใน “ไทยโพสต์” ยังตั้งข้อสังเกต
เกี่ยวกับวันที่ 18 เมษายน 2552 ว่าเป็นวิกฤตการเมืองที่ต้องเตือนสติ
ทั้งคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดง โดยใช้หัวข้อเรื่องว่า “ลับแลอำนาจ “ฆ่าสนธิ”
ปั่นเหลือง-แดงฆ่ากัน” โดยระบุว่า
คนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงต่างตกเป็นเครื่องมือของคนบางคน
ที่จ้องฉกฉวยโอกาสหลอกล่อให้ฆ่ากันเอง ซึ่งเกิดจาก “มือที่มองไม่เห็น”
ที่สร้างสถานการณ์เพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง
พันธมิตรฯศัตรู ปชป.
ดังนั้น กว่า 2 ปีที่ผ่านมากลุ่มพันธมิตรฯ
โดยเฉพาะนายสนธิได้ออกมาโจมตีนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งนายสนธิประณามว่า ระบบการเมือง
ขณะนี้เป็นลักษณะการสืบทอดอำนาจต่อเนื่องจากตนเองไปที่เมีย ลูก เพื่อน
แล้วยังจับมือกันกินรถเมล์ 69,000 ล้านบาท
สนามบินรันเวย์ที่ 3 อีก 75,000 ล้านบาท
ถนนไร้ฝุ่นอีกกี่หมื่นล้านบาท เบ็ดเสร็จงบประมาณแผ่นดิน 180,000 ล้านบาท
ถูกชัก 10 เปอร์เซ็นต์คือ 180,000 ล้านบาท
หรือ 15 เปอร์เซ็นต์ 270,000 ล้านบาท
เอามาจัดสรรเข้ากระเป๋าพวกนักการเมือง
เพื่อเอาเงินก้อนนี้กลับไปซื้อเสียงอีกครั้งหนึ่ง
แล้วกลับมาเพื่อกินงบประมาณกันอีก
นายสนธิยังประณามว่า พรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้
เหมือนปล้นกลางแดด มือถือดาบ คาดผ้าประเจียด ไอ้เสือเอาวา ปล้น
ไม่เหมือนยุคทักษิณที่มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ใช้กฎหมายบีโอไอ
หรือแก้กฎหมายสรรพสามิตให้ไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานเพื่อเอื้อธุรกิจของตนเอง
แต่ยุคนี้เปลี่ยนเป็นการทำโครงการที่ใช้งบประมาณมากๆ เช่น
ถนนไร้ฝุ่น จำนำข้าว มือใครยาวสาวได้สาวเอา
นายอภิสิทธิ์จึงได้แต่นั่งทำตาปริบๆ เพราะกลัวพรรคร่วมรัฐบาลจะถอนตัว
แต่วันนี้นายสนธิคงไม่ปฏิเสธว่า
นายอภิสิทธิ์ไม่ใช่เป็น “ผู้นำฟันน้ำนม” หรือ “หุ่นเชิด” ที่ไร้เดียงสาอีกต่อไปแล้ว
เพราะแม้แต่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย
และนายบรรหาร ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ยังออกปากอย่างเกรงขาม
และถากถางว่าใหญ่โตจนไม่เห็นหัวคนแก่แล้ว
ดังนั้น ใครจะเย้ยหยันว่า “รักนะ...เด็กโง่”
แต่สำหรับพันธมิตรฯและนายสนธิที่ประกาศชุมนุมใหญ่ทั้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
และกรณีชายแดนไทย-กัมพูชานั้นกลายเป็นเรื่องของการใช้หนี้แผ่นดิน
ซึ่งนายสนธิยืนยันว่าจะชุมนุมแม้จะมีไม่กี่คนก็ตาม
เพราะวันนี้บรรดาแม่ยกนายอภิสิทธิ์ต่างหลงใหลในกิเลส ซึ่งน่าสงสารที่สุดในโลก
“ในวันข้างหน้าถ้ามีคนหล่อกว่านายอภิสิทธิ์ พูดเพราะกว่า ก็จะเปลี่ยนไปชอบอีกคน
คนที่หนาด้วยกิเลสพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์
คนพวกนั้นมุ่งที่ความสวยงาม ความหล่อเหลา
มองคนที่ภายนอกจริงๆ
คนพวกนี้ผมรังเกียจมาก รู้ว่าไม่ควรพูดแต่ต้องพูด
เพราะรู้สึกว่าไม่อยากเสียเวลากับคนไร้สาระแบบนี้”
“อภิสิทธิ์โมฆะบุรุษ”
แต่สำหรับคนเสื้อแดงแล้วนายอภิสิทธิ์คือผู้ต้องหาในการสั่งฆ่าประชาชน
แม้วันนี้หลายฝ่ายจะเชื่อว่ายากจะเอาผิดได้ตามกระบวนการยุติธรรม
แต่ก็ดีกว่า “ตายฟรี” และถูก “ขังฟรี”
อย่างที่อาจารย์กฤตยา อาชวนิชกุล ศูนย์สิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึง
ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์
“เมษา-พฤษภาอำมหิต” 91 ศพ และบาดเจ็บพิการเกือบ 2,000 คน
สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการถูกยิงบริเวณศีรษะ
โดยใช้อาวุธสงคราม และแพทย์ยังให้ความเห็นว่า
ถูกกระสุนความเร็วสูง ซึ่งตรงกับผลการชันสูตรศพที่ถูกเปิดเผยออกมา
โดยเฉพาะกรณี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม
ยิ่งหลังวันที่ 10 เมษายน รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้ใช้วาทกรรม “ก่อการร้าย” กล่าวหา
และไล่ล่าคนเสื้อแดง
ขณะที่เหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ใช้คำว่า “ผู้ก่อความไม่สงบ” เท่านั้น
การที่รัฐบาลคิดคำนี้ขึ้นมา
เพื่อสร้างความสกปรกให้สะอาด สร้างความชอบธรรมให้รัฐบาล
แล้วสร้างความอัปลักษณ์ให้กับคนเสื้อแดง
ทั้งที่สิ่งที่รัฐบาลใช้อำนาจอำมหิต
จัดการกับประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่สกปรกและน่าผิดหวัง
ซึ่งประชาชนสามารถเกลียดรัฐบาลได้
แต่รัฐบาลไม่มีสิทธิเกลียดประชาชน
และไม่มีอำนาจสั่งฆ่าประชาชน
“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
เคยพูดกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี
ต่อเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ว่านายสมชายเป็นคนหรือไม่
แต่ดิฉันจะไม่ถามว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนหรือไม่ เพราะรู้ว่าเป็นคนอยู่แล้ว
นอกจากนี้ในสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี
นายอภิสิทธิ์ได้อภิปรายโจมตีนายบรรหาร ตอนหนึ่งนายอภิสิทธิ์กล่าวหา
นายบรรหารว่าเป็นโมฆะบุรุษ
แต่กับเหตุการณ์นี้มีการสั่งสลายการชุมนุมทำให้คนเสียชีวิตจำนวนมาก
แต่นายอภิสิทธิ์ยังอยู่ในอำนาจ นายอภิสิทธิ์จึงเป็นโมฆะบุรุษ
และรัฐบาลชุดนี้ก็เป็นโมฆะรัฐบาล”
เสร็จศึกฆ่าพันธมิตรฯ
กรณีกัมพูชาจับ 7 คนไทยจนถึงบทบาทของพันธมิตรฯวันนี้
จึงถูกเปรียบเปรยเหมือนคำพังเพย “เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าพันธมิตรฯ”
อย่างที่พันธมิตรฯออกมาประณามพรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ว่า “เนรคุณ”
ทั้งที่พันธมิตรฯเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
จนสามารถล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ขณะเดียวกันการชุมนุมยืดเยื้อนานเกือบ 200 วัน
จนสามารถล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
นายอภิสิทธิ์จึงได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นเพราะพันธมิตรฯเช่นกัน
แม้จะตั้งรัฐบาลโดยมีกองทัพจับมือกับกลุ่มนายเนวินก็ตาม
ชะตากรรมของกลุ่มพันธมิตรฯและนายสนธิ
ก็ไม่ต่างกับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)
ที่เคยยิ่งใหญ่และกุมอำนาจเด็ดขาด แต่ปัจจุบันเป็นได้แค่หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ
ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อมีการเลือกตั้งจะเป็นพรรคต่ำสิบหรือต่ำห้า
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ถูกคาดการณ์ว่าจะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนนายอภิสิทธิ์เสียอีก
จึงไม่แปลกที่นายสนธิจะแสดงความไม่พอใจ
และโจมตีนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ว่า
เนรคุณต่างๆนานา ทั้งยังโกหก ตระบัดสัตย์เป็นเนืองนิจ
โดยเฉพาะนายกษิตที่เป็นเหมือนคนของพันธมิตรฯแต่กลับออกมาตอบโต้
และกล่าวหากลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งกำลังสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมือง
เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงแล้วยังปลุกระดมให้เกิดความโกรธแค้น
และไม่สมควรจะเอากองทัพมากดดัน
มาร์คปุกคุ้ง
นายสนธิสรุปว่า นายกษิตกับนายอภิสิทธิ์เป็น “ของเก๊” ทั้งหมด
ทั้งตั้งฉายานายอภิสิทธิ์ว่า “มาร์คปุกคุ้ง” หมายถึงกระบี่วิญญูชนจอมปลอม คือ
นักการเมืองหรือผู้มีอำนาจฆ่าคู่ต่อสู้ทางการเมือง
ฆ่าญาติมิตร ฆ่าเพื่อนฝูงผู้หวังดี
แม้แต่คนที่ต่อสู้ให้ตนเองขึ้นมาใหญ่ก็ฆ่า
ในช่วงที่ตัวเองเป็นใหญ่ก็ต้องการโชว์ว่าซื่อสัตย์
แต่พอลับหลังก็แอบไปจับมือกับโจรเพื่อจะปล้นชาติ ปล้นแผ่นดิน
แกนนำพันธมิตรฯและกลุ่มประชาชนไทยหัวใจรักชาติ
จึงไม่เชื่อความจริงใจของนายอภิสิทธิ์
ทั้งยังมีบางคนมองว่านายอภิสิทธิ์และคนในกองทัพบางคนถือโอกาส
ยืมมือสมเด็จฮุน เซน ทำลายพันธมิตรฯ
เพราะหากปล่อยให้พันธมิตรฯกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจใหม่
ซึ่งไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มอีลิตอย่างปัจจุบัน
โดยกลุ่มพันธมิตรฯยืนยันจะชุมนุมใหญ่ยืดเยื้อในวันที่ 25 มกราคมนี้แน่นอน
เพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งเรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกเอ็มโอยู 2543
แต่นายสนธิอาจลืมไปว่าความยิ่งใหญ่ของพันธมิตรฯก่อนหน้านี้
ส่วนหนึ่งมาจากบรรดาแม่ยกของนายอภิสิทธิ์ คนของพรรคประชาธิปัตย์
และกลุ่มอีลิตที่มีพลังมหาศาลจาก “สีพิเศษ”
“มันทุเรศไง เมืองไทยเป็นเมืองซึ่งด้อยปัญญา
รัฐบาลทำไมเราถึงมีนักการเมืองชั่วๆ ทหารเลวๆบางคนเกิดขึ้นมาได้
เหตุผลเพราะว่าคนไทยไร้ปัญญา
เมื่อคนไทยไร้ปัญญาแล้วมันหลอกเรื่องอะไรก็หลอกได้
แต่มันหลอกเรื่องกฎแห่งกรรมไม่ได้ ผมเชื่อเหลือเกินในเรื่องกฎแห่งกรรม
ผมคิดว่ามันใกล้มาแล้ว”
นายสนธิกล่าวอย่างเจ็บปวด ซึ่งคงไม่ปฏิเสธว่า
สภาพของคนเสื้อเหลืองวันนี้ไม่ได้แตกต่างจากคนเสื้อแดงมากนัก
ที่โดนต้ม โดนหลอกจากนักการเมืองเลวๆ กลุ่มอีลิต
และกองทัพที่วันนี้ปูอำนาจไว้อย่างมั่นคงแล้ว
จึงไม่จำเป็นต้องใช้บริการจากบรรดา “โคถึก” อีกต่อไป
พรรคประชาธิปัตย์จึงกล้าออกมาประกาศว่า
การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส.ส.เขตต้องมี 375 คน และ ส.ส. บัญชีรายชื่อ 125 คน
รวมทั้ง ส.ว.สรรหาก็ยังมีอยู่ต่อไป
เพราะนั่นคือฐานอำนาจของกลุ่มอีลิตในรัฐสภา
อีกทั้งยังเป็นการลดอำนาจ
พรรคเพื่อไทยและกลุ่มที่ยังจงรักภักดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณอีกด้วย
เสียงขู่ของนายสนธิและกลุ่มพันธมิตรฯจึงมีแต่ลดลงเรื่อยๆ
เพราะกลุ่มที่เคยสนับสนุนค่อยๆถอยห่างออกไป
การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯและเครือข่ายจึงไม่มีพลังเหมือนในอดีต
ขณะที่พรรคการเมืองใหม่เองก็เหมือนแท้งตั้งแต่เกิด
จนถูกสบประมาทว่าอาจไม่ได้ ส.ส. แม้แต่ที่นั่งเดียวหากมีการเลือกตั้ง
“เหลือง-แดง” ปลดวิกฤต
จึงไม่สายเกินไปที่
นายสนธิจะกลับไปทบทวนที่เคยพูดถึงคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงว่า
มีอยู่อย่างหนึ่งที่เหมือนกันคืออุดมการณ์ที่ต้องการ “ปฏิวัติสังคม”
แม้ไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน
แต่ไม่ได้ปิดประตูตาย เพราะไม่ว่าเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงก็คือประชาชน
ที่ต้องการความยุติธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริง
ที่เป็นของประชาชน ไม่ใช่ให้พวกเหลือบการเมืองมาแสวงหาผลประโยชน์
ที่สำคัญคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงไม่เคยคิดจะเข่นฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย
ขณะที่นายอภิสิทธิ์และคนในกองทัพ
กลับไม่สะทกสะท้านกับการใช้กำลังปราบปรามประชาชนจนตายไปเกือบร้อย
การเดินหน้าปฏิวัติสังคม
โดยประชาชนจึงเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถปลดแอกการเมืองน้ำเน่า
ภายใต้เงาอุบาทว์ของกลุ่มอีลิตและ “มือที่มองไม่เห็น” ได้
เพราะไม่เช่นนั้น
นายสนธิและพันธมิตรฯก็ยากจะต้องรับชะตากรรมเช่นเดียวกับคนเสื้อแดง
ขณะนี้ที่ถูกยัดเยียดเป็น “ผู้ก่อการร้าย” และติดคุกยาวเพื่อไม่ให้เป็น “หอกข้างแคร่”
แม้แต่นายอภิสิทธิ์เองก็ตาม
แม้วันนี้จะเป็น “คนโปรด” ของกลุ่มอีลิตและคนในกองทัพ
แต่เมื่อ “เสร็จศึก” ก็หนีไม่พ้น “กฎแห่งกรรม”
และเป็น “โคถึก” ที่มิแคล้วต้องถูกฆ่าเช่นเดียวกับนายสนธิในวันนี้
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 294 วันที่ 15-21 มกราคม พ.ศ. 2554
หน้า 16 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
http://www.dailyworldtoday.com/newsblank.php?news_id=9339