อ.ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความเรื่อง “ขอประณาม (ล่วงหน้า) การทำรัฐประหาร!” เพื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมืองที่คุกรุ่นอยู่ในปัจจุบัน
รวมทั้งเป็นการเตือนให้เห็นถึงผลเสียที่ร้ายแรง หากมีความพยายามเรียกร้องให้ทหารเข้ามาทำรัฐประหารอีก ความดังนี้...
“สถานการณ์การเมืองในขณะนี้มีความขัดแย้งมากขึ้นทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผชิญหน้าและการปะทะกันระหว่างฝ่ายพันธมิตรฯ และฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ ในคืนวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม จนมีกระแสกล่าวถึงเรื่องการทำรัฐประหารตามสื่อต่างๆ อย่างกว้างขวาง ผมเห็นว่าการทำรัฐประหารนอกจากจะมิใช่เป็นหนทางในการแก้ไขปัญหาแล้ว กลับจะทำให้สถานการณ์การเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ของประเทศไทย เลวร้ายหนักลงไปอีก
1.เงื่อนไขของการทำรัฐประหารมีจริงหรือ
เป็นที่ทราบกันดีว่า การเมืองไทยเวียนว่ายกับการยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้ง เเละทุกครั้งที่มี “ปัญหา” ทางการเมือง (ซึ่งคนไทยก็ไม่เคยเข้าใจหรือเเกล้งทำเป็นไม่เข้าใจว่า โดยธรรมชาติของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ต้องมีความเห็นเเตกต่างเป็นของปกติธรรมดา) ก็มักจะมีการพูดถึงรัฐประหาร โดยเฉพาะในขณะนี้มักมีการพูดกันมากว่า “รัฐบาลอย่าสร้างเงื่อนไขของการทำรัฐประหาร” หรือที่ทหารบางท่านกล่าวว่า “อะไรจะเกิดก็เกิด” คำพูดนี้สะท้อนอะไร ในความเห็นของผมไม่มี “เงื่อนไขของรัฐประหาร” อยู่จริง นอกเสียจากการสร้างสถานการณ์ หรือประโคมข่าวอะไรบางอย่างเพื่อใช้เป็น “ข้ออ้าง” (Pretext) ในการยึดอำนาจเท่านั้นเอง
อะไรคือเงื่อนไขของการทำรัฐประหาร หากย้อนดูอดีต การยึดอำนาจมักจะอ้างปัญหาคอร์รัปชั่น เเต่เกือบทุกครั้งที่มีการยึดอำนาจสำเร็จ คณะรัฐประหารนั่นเองที่มีข่าวพัวพันการทุจริต แจกผลประโยชน์ให้กับพวกพ้อง ไม่เว้นแม้แต่การทำรัฐประหาร 19 กันยายน ที่ผ่านมา
ต่อมาก็อ้างความล้มเหลวในการบริหารประเทศ ซึ่งรัฐบาลสุรยุทธ์ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ก็เป็นหลักฐานที่เห็นชัดที่สุดของความล้มเหลวของรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร ผมไม่ทราบว่าคราวนี้จะอ้างอะไรมาเป็นเงื่อนไขของการทำรัฐประหาร อาจเป็นได้ว่านำเรื่องความไม่จงรักภักดีมาเป็นข้ออ้าง แต่การทำรัฐประหารก็มิได้ทำให้ประเด็นดังกล่าวมีน้ำหนักมากพอ เนื่องจากมีมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและกระบวนการยุติธรรม ที่คอยทำหน้าที่พิสูจน์ความผิดอยู่เเล้ว
อีกข้ออ้างหนึ่งที่จะนำมาใช้คือ การปะทะของมวลชน ซึ่งข้ออ้างนี้คณะรัฐประหารชุดล่าสุดก็ใช้เป็นเหตุในการทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา ประกอบกับเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีการปะทะกันระหว่าง ฝ่ายพันธมิตรฯ กับฝ่ายต่อต้านพันธมิตรฯ ยังผลให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมได้รับบาดเจ็บนั้น ถามว่าข้ออ้างนี้มีน้ำหนักมากพอหรือไม่ที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหาร
คำตอบก็คือ “ไม่” ไม่ในความหมายของผมมิได้หมายความว่า “ไม่มากพอ” แต่หมายถึง “ไม่เด็ดขาด” หากมีการยอมรับข้ออ้างนี้ เราคงเห็นการทำรัฐประหารทั่วภูมิภาคของโลกไปแล้ว เพราะว่าเกือบทุกประเทศมีความขัดแย้งหรือการชุมนุมเป็นเรื่องปกติ ยกตัวอย่างง่ายๆ เรามักได้ยินข่าวบ่อยๆ ว่า แฟนบอลประเทศโน้นประเทศนี้ปะทะกัน ตีกัน จนถึงแก่ความตายก็มี หรือหลายประเทศในยุโรปก็มีการเผาประท้วง ปิดถนน ผมก็ไม่เห็นมีการทำรัฐประหารเลย อีกทั้งเกือบทุกประเทศรวมถึงประเทศไทย ก็มีตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมหรือสลายมวลชนอยู่แล้ว เช่น การยิงด้วยกระสุนยาง กระบองยาง หรือใช้น้ำฉีด เป็นต้น นอกจากนี้ การควบคุมหรือสลายการชุมนุม ประเทศที่เจริญแล้วจะใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนทหารนั้นไม่ได้ถูกฝึกมาเพื่อปฏิบัติภารกิจด้านนี้โดยตรง
กล่าวโดยสรุป ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่มุมใดก็ตาม ผมเห็นว่าเงื่อนไขของการทำรัฐประหารนั้นไม่มีอยู่จริงอย่างสิ้นเชิง การเสนอ “วาทกรรมเรื่องเงื่อนไขของการทำรัฐประหาร” นั้นเเสดงถึงความอับจนทางสติปัญญาของผู้พูด และแสดงถึง “ทัศนคติที่เป็นอันตราย” อย่างยิ่งต่อระบอบประชาธิปไตย ประชาธิปไตยอยู่ร่วมโลกไม่ได้กับรัฐประหาร การพูดถึงเงื่อนไขของรัฐประหาร เท่ากับว่าเรากำลังให้ความชอบธรรมกับการทำรัฐประหาร ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม สำหรับผมนั้น ไม่มีเงื่อนไขของการยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเลย
ไม่ว่ากรณีใดๆ เปรียบได้ว่า เจ้าบ้านซื้อทองและแหวนเพชรไว้ในบ้าน เท่ากับเป็นการสร้างเงื่อนไขให้มีการลักทรัพย์ดอกหรือ การที่ขโมยขึ้นบ้านเอาทองและแหวนเพชรไป โจรผู้นั้นอ้างได้หรือไม่ว่า ที่ลักขโมยทองและแหวนเพชรไปเพราะว่าเจ้าของบ้านสร้างเงื่อนไขในการลักทรัพย์ โดยการซื้อทองและแหวนเพชรไว้ในบ้าน หากไม่ซื้อทองและแหวนเพชร โจรก็จะไม่ขึ้นบ้าน ตรรกะแบบนี้โจรเท่านั้นที่อ้าง วิญญูชนทั่วไปอย่าว่าแต่จะ “อ้าง” เลย แค่ “คิด” เขาก็ไม่คิดแล้ว
2.หลักความสูงสุดของรัฐบาลพลเรือนเหนือทหาร (Supremacy of Civilian Government)
กรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากอย่าง Huntington เสนอ “หลักความสูงสุดของรัฐบาลพลเรือนเหนือทหาร” หลักนี้หมายความว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจควบคุมการบังคับบัญชาเหนือกองทัพ และกองทัพถูกทำให้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ทหารเป็นทหารอาชีพ (Profession) แต่หลักนี้ไม่เคยหยั่งรากลึกในการเมืองไทยเลย หากมองย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์การเมืองไทย ทหารเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองไทยมาโดยตลอด
อีกทั้งสังคมไทยยังมีความเข้าใจผิดๆ มาโดยตลอดว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต้องเป็นทหาร เพราะทหารเท่านั้นที่จะรู้เรื่องทหาร หากไปดูประเทศที่พัฒนาแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมักจะเป็นพลเรือน นับแต่นี้ไป กองทัพจะต้องเป็นกองทัพโดยอาชีพ การวางตัวของผู้บัญชาการกองทัพบกคนปัจจุบันถือว่าวางตัวได้ถูกต้อง ที่จะไม่นำกองทัพเข้ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ส่วนทหารท่านใดที่แสดงความคิดเห็นในเชิงไว้ท่าทีเกี่ยวกับการทำรัฐประหาร หากเกิดขึ้นในสังคมที่เจริญแล้ว เป็นที่เชื่อแน่ว่า ทหารผู้นั้นคงโดยย้ายหรือปลดไปแล้ว เพราะขัดกับ “หลักความสูงสุดของรัฐบาลพลเรือนเหนือทหาร”
การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง โดยเฉพาะการสงวนท่าทีในการทำรัฐประหารนั้น ต้องถือว่าขัดกับความเป็นทหารอาชีพ และเป็นการทำลายเกียรติของคนพูดเอง