WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, May 29, 2008

จี้จับพันธมิตร ส่อผิดมาตรา68

* นักก.ม.ชี้เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง

นักกฎหมายประสานเสียง ชี้ช่องเอาผิด “พันธมิตรฯ-ส.ส.ปชป.” ร่วมชุมนุมล้มล้างรัฐบาล ทำลายระบอบประชาธิปไตย เข้าข่ายผิดกฎหมายอาญา ม.68 และกฎหมายความมั่นคง ม.116 มีความผิดฐานเป็นกบฏชัดเจน ด้านพลังประชาชน จ่อฟ้อง ประธานวุฒิฯ อีกรายหากรับยื่นถอดถอน ส.ส.-ส.ว. จากพันธมิตรฯ พร้อมทั้งตั้ง “วอร์รูม” จับตาพฤติกรรมชั่วใกล้ชิด ตำรวจนางเลิ้งใช้ภาพ “ประชาทรรศน์” เป็นหลักฐานมัดโจรผ้าพันคอเหลืองทำร้ายประชาชน ขณะที่ คปพร. เปิดสภาประชาชนถกแก้ รธน. ท้าพันธมิตรฯ ร่วมเวทีพิสูจน์ความจริง

การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เริ่มจะหนักข้อขึ้นทุกวัน โดยล่าสุดได้มีความพยายามปลุกระดมประชาชนมาร่วมกันทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ และยังมีการปราศัยบนเวทีที่รุนแรงและล่อแหลมมากขึ้นทุกขณะ โดยที่หลายคำพูดที่ไปสอดคล้องกับนายทหารบางคน แกนนำบางพรรคการเมือง ส่อให้เข้าใจได้ว่ามีการร่วมกันเป็นขบวนการที่จะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำปฏิวัติรัฐประหาร

โดยที่ก่อนหน้านี้ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคพลังประชาชน ได้เดินทางเข้าแจ้งความที่กองปราบปราม เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรฯ และส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มาแล้วหลังจากพบว่าพฤติกรรมในการเคลื่อนไหวส่อเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 116 ในการเคลื่อนไหวสร้างความปั่นป่วนที่จะนำไปสู่การก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร และมาตรา 68 ที่มีการกระทำเข้าข่ายล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย

นักกม.ชี้ช่องเอาผิดกม.อาญา
ต่อกรณีดังกล่าวได้มีนักกฎหมายให้ความเห็นสนับสนุนไว้อย่างกว้างขวาง

ในขณะเดียวกันมีความเห็นในแง่มุมของนักกฎหมายระบุในแนวทางการฟ้องร้องดำเนินคดีกับแกนนำพันธมิตรฯ รวมถึง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย โดย นายมโน ทองปาน กรรมการฝ่ายช่วยเหลือประชาชนด้านกฎหมาย สภาทนายความ ให้ความเห็นว่า การแจ้งความในข้อหาดังกล่าวสามารถกระทำได้ตามกฎหมาย ซึ่งพนักงานสอบสวนจะต้องนำข้อเท็จจริงมาตรวจสอบว่าเข้าองค์ประกอบข้อกฎหมายใดบ้าง หากเข้าองค์ประกอบของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 จริงก็จะเชิญผู้กระทำความผิดมารับทราบข้อกล่าวหา และดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรม

“มองว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องการล้มล้าง รธน.มากกว่าแก้ไข รธน. ทั้งที่ความจริงการแก้ไข รธน.เป็นสิทธิอันชอบธรรมตามกฎหมาย สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เหมือนเรามองกฎหมายในคนละมุม ท้ายที่สุดก็ไม่เกิดผลดี บ้านเมืองยังคงวุ่นวายต่อไป อยากให้ยุติการชุมนุมแล้วมาเล่นกันตามกติกา ถกกันในสภาจะดีกว่า ใช้สภาเป็นเวที และทุกคนก็ปฏิบัติตามกรอบที่ควรเป็น ไม่ใช่ไม่พอใจก็ชุมนุมประท้วง” นายมโน กล่าว

เข้าข่ายล้มล้างอำนาจอธิปไตย
ด้านนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความของนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าเป็นสิทธิ์สามารถทำได้ เพราะถือเป็นการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เข้าข่ายผิดกฎหมายอาญาตามมาตรา 68-113 ที่เป็นการล้มล้างอำนาจอธิปไตย อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหาร อีกทั้งเมื่อมีความพยายามสื่อสารยุยงให้เกิดการปฏิวัติเพื่อล้มล้างรัฐบาล ก็เข้าข่ายผิดกฎหมายความมั่นคงของประเทศด้วย

ส่วนที่กลุ่มพันธมิตรฯ รวบรวมรายชื่อไม่ครบแต่กลับไปยื่นให้กับประธานวุฒิสภานั้น ความจริงไม่สามารถทำได้ แต่ประธานวุฒิฯ ก็ยังรับไว้พิจารณา ทั้งที่รู้กฎระเบียบ แต่แกล้งซื่อบื่อ และเห็นด้วยไปกับเขา

อย่างไรก็ดี ตนมองว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้ทำให้เกิดผลดี ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและการลงทุน ทำให้การจราจรติดขัด จึงอยากให้หยุดการชุมนุมในที่สุด

จี้ตร.เอาผิดม.113เป็นกบฎ
ส่วนนายคำนวณ ชโลปถัมภ์ อดีต ส.ว. กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า การที่มีคนไปขวางการจราจรมีความผิด ทั้งผู้ที่ไปรวบรวม ยุยง หรือจ้างวานคนมาชุมนุน รวมถึงผู้ร่วมชุมนุม หากสอบสวนแล้วพบว่ามีเจตนาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล จะเข้าข่ายผิดกฎหมายด้านความมั่นคงมาตรา 113 หรือไม่ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้การสอบสวนต้องดำเนินการให้ลึกลงไปว่ามีเจตนาเช่นไร ซึ่งอาจจะไม่ต้องดูว่าบุคคลนั้นผิดหรือไม่ผิด ถ้าเป็นเช่นนั้น จะถือได้ว่าเป็นกบฎ ซึ่งการเตรียมการหรือคบคิดกันให้เกิดการกบฎต้องระวางโทษจำคุก 3 - 15 ปี

ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่า เรื่องนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจควรเป็นผู้ดำเนินคดีเอง เนื่องจากเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นการขัดขวางการจราจรทำให้เกิดความวุ่นวาย อย่างไรก็ดี ประชาชนควรรับฟังเหตุผลของทุกฝ่าย หากการแก้ไข รธน. เพื่อพวกพ้องตัวเองจริง ประชาชนก็จะเป็นผู้ตัดสินเอง เพราะเป็นเอกสิทธิ์ของประชาชน ขณะเดียวกันการแก้ไข รธน.ก็เป็นหน้าที่ของสภาไม่ใช่กลุ่มพันธมิตรฯ ที่เป็นคนตัดสินใจ

จวกพันธมิตรส่อขัดรธน.
ทางด้าน นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2540 (สสร.40) ให้ความเห็นว่า ต้องทำความเข้าใจถึง ส.ส. – ส.ว. ที่เข้าชื่อเมื่อครบจำนวนตามที่กำหนดแล้วถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ทันที นั่นหมายถึง สิทธิ์อันดับ 1 ดังนั้นการที่บุคคลอื่นใดจะมาใช้สิทธิ์รองลงมายื่นถอดถอน ส.ส.ที่ใช้สิทธิ์ครั้งหลังนี้ถือว่าขัดต่อ รธน. ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สิ้นสุด เพราะหากใช้เอกสิทธิ์ตาม รธน. แล้วถูกถอดถอนได้ก็ไม่จำเป็นต้องมี รธน.

ดังนั้น การกระทำของกลุ่มพันธมิตรถือว่าไม่ชอบด้วย รธน. ส่วนการแจ้งความดำเนินคดีทำได้ เจ้าพนักงานจะเป็นผู้พิจารณาและใช้ดุลยพินิจเองว่าขัดขวางกระบวนการตาม รธน.หรือไม่ ทั้งนี้ การชุมนุมที่มีการใช้คำพูดยั่วยุ ปลุกระดม หรือก่อให้เกิดความรุนแรงเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญาทั้งสิ้น ใครก็ตามแต่พบเห็นการกระทำที่อยู่นอกเหนือ รธน. พูดจาในทำนองเช่นนั้นสามารถร้องไปที่อัยการสูงสุดหรือพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีได้ตามกฎหมาย

“การชุมนุมของพันธมิตรฯ ไม่ถูกต้อง หากชุมนุมกันอย่างสันติวิธีไม่มีอาวุธ จะชุมนุมกันนานแค่ไหนไม่มีใครว่า แต่การชุมนุมที่มีการพูดจายั่วยุ จาบจ้วง เพื่อล้มล้างการปกครองเข้าข่ายผิดกฎหมาย ที่ผ่านมาเรามีการเลือกตั้งและใช้สิทธิตาม รธน. แล้ว เมื่อมีการชุมนุมก็เท่ากับว่าใครก็ตามที่อยู่นอก รธน.มีอำนาจมาก ใช้อภิสิทธิ์ชนเปิดเวที ข่มขู่ เรียกร้องให้เกิดรัฐประหาร กลายเป็นผู้มีอทธิพล ขาใหญ่ เล่นงานคนที่อยู่ใน รธน. เช่นนี้แล้วจะมีการเลือกตั้งไปเพื่ออะไร สุดท้ายก็มาเจอกันที่ถนนเช่นเดิม” นายคณิน กล่าว

จ่อดำเนินคดีประธานวุฒิสภา
ขณะเดียวกันหลังจากก่อนหน้านี้ได้แจ้งความดำเนินคดีกัยพันธมิตรฯ และพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว นายวรวัจน์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่าจะแจ้งความดำเนินคดีกับนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ตามมาตรา 113 ของกฎหมายอาญา หากรับรายชื่อประชาชนเพื่อถอดถอนสมาชิกรัฐสภาที่ลงชื่อรับรองญัตติแก้ไข รธน. จากกลุ่มพันธมิตรฯ ในวันศุกร์นี้ (30 พ.ค.) เพิ่มเติม เนื่องจากการกระทำดังกล่าวถือว่าขัดขวางการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเข้าข่ายการเป็นกบฏ เพราะสมาชิกรัฐสภาที่ร่วมลงชื่อถือว่าทำหน้าที่ตามบทบัญญัติใน รธน. เพื่อปกป้องสถาบันนิติบัญญัติ การปกครองระบอบประชาธิปไตยและระบบรัฐสภา

ทั้งนี้ หากมีการยื่นรายชื่อประชาชน 20,000 ชื่อเพื่อถอดถอน ส.ส.และ ส.ว.ที่ยื่นญัตติดังกล่าวเมื่อใด ตนก็จะแจ้งข้อกล่าวหากับประชาชนที่ร่วมลงชื่อถอดถอนทั้ง 20,000 คนทันที เพราะถือว่าล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย

“พวกพันธมิตรฯ เป็นใคร คุณสุริยะใส เป็นใคร แค่คนไม่กี่คน ถึงจะมายื่นถอดถอน ส.ส.และ ส.ว. แม้กระทั่งพรรคยังบังคับไม่ได้ ส.ส.มาจากการเลือกตั้ง เราทำผิดอะไร ทั้งๆ ที่ทำตามหน้าที่ใน รธน.รองรับ ถ้าใช้ม็อบมาบีบ ส.ส.อย่างนี้แล้ว สถาบันนิติบัญญัติและระบบรัฐสภาจะอยู่ได้อย่างไร” ส.ส.แพร่ผู้นี้ กล่าว

คปพร. เปิดสภาประชาชน1มิ.ย.
วันเดียวกัน คณะกรรมการประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) นำโดย นพ.เหวง โตจิราการ พร้อมแกนนำ แถลงถึงการจัดสภาประชาชนระดมความคิดเห็นเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จะมีขึ้น ณ หอประชุมคุรุสภา ในวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน ตั้งแต่ 13.00 น. เป็นต้นไป

นพ.เหวง กล่าวว่า เป็นการจำลองการประชุมแบบรัฐสภา เพื่ออภิปรายถึง รธน. แต่ละหมวดตามหลักวิชาการ และจะไม่ใช้วิธีการปราศรัยแบบกลุ่มผู้ชุมนุม จึงไม่มีกลิ่นอายของม็อบอย่างที่หลายฝ่ายมีความกังวลว่าจะเกิดการม็อบชนม็อบขึ้น ส่วนการเข้าร่วมจะกลั่นกรองผู้ร่วมงานและจำกัดไม่ให้เกิน 500 คน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์โดยรวม

สำหรับการรักษาความปลอดภัย จะมีการตรวจค้นอุปกรณ์ที่จะเป็นอาวุธ พร้อมกับได้ประสานไปยัง พล.ต.อ.พัชรวาทวงศ์สุวรรณ ผบ.ตร. เพื่อขอความร่วมมือช่วยดูแลความสงบเรียบร้อย ส่วนการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯ ในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ ส่วนตัวไม่ได้สนใจ แต่มีความกังวลในเรื่องที่อาจจะมีทหารปฎิวัติมากกว่า

ท้าพันธมิตรฯเข้าร่วมดีเบต
ด้าน นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ หนึ่งในแกนนำ กล่าวฝากเชิญ แกนนำพันธมิตรฯ เข้าร่วมงานด้วย แต่ต้องมีเฉพาะกลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ ไม่มีผู้สนับสนุนติดตาม เพื่อจะให้ชี้แจงว่าทำไมถึงไม่ยอมให้แก้ไข รธน.50 และมีท่าทีรังเกียจ รธน.40 ด้วยเหตุใด

ขณะที่ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข หนึ่งในแกนนำ กล่าวเสริมถึงการจัดตั้งสภาประชาชนเพื่อฟังเสียงนักวิชาการ ประชาชน ตลอดจนบุคคลที่เกี่ยวข้อง ก่อนนำเสนอคณะกรรมาธิการในรัฐสภา เพื่อแก้ไข รธน.ให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชน ทั้งนี้ ยืนยันว่าหากมีการแก้ รธน.แล้ว ไม่ต้องกังวลว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจะพ้นผิด เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมกำลังดำเนินการอยู่

พร้อมกับย้ำว่า จะไม่เกิดการเผชิญหน้ากันอย่างแน่นอน และเมื่อเสร็จสิ้นการสัมมนาในเวลา 18.00 น.จะสลายตัวทันที ไม่มีการชุมนุมยืดเยื้อ และขอวอนทางกลุ่มพันธมิตรฯ อย่าได้รุกล้ำเข้ามาสร้างความปั่นป่วน แต่หากถูกยั่วยุจริง คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจ้าหน้าที่ตำรวจ

“เฉลิม”รับคำท้าดีเบต“สนธิ”
ในอีกด้านหนึ่ง นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ระบุว่า ในวันศุกร์นี้ (30 พ.ค.) เตรียมนัดหารือกับรัฐมนตรีที่เป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชนที่บ้านของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ในเรื่องการทำงาน ภายหลังที่รัฐบาลทำงานมาระยะหนึ่ง

“ก็นัดคุยกันเรื่องการทำงาน เพราะไม่ได้คุยกันเลย” นายสมัคร กล่าวแต่ไม่ตอบคำถามว่า จะมีการหารือในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 หรือไม่

ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย พร้อมรับคำท้าดีเบตเรื่อง รธน.กับ นายสนธิ แกนนำพันธมิตรฯ เพราะการแสดงความเห็นย่อมดีกว่าปิดถนนประท้วงและทำให้ประชาชนเดือดร้อน โดยขอดีเบตผ่านสื่อจะใช้ช่อง 9 หรือ NBT ก็ได้ และยืนยันรัฐบาลไม่มีแนวคิดจับตัวแกนนำพันธมิตรฯ ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยไม่มีนโยบายจัดมวลชนมาชุมนุมต้านพันธมิตรฯ และเชื่อว่า จะไม่มีกลุ่มต่อต้านจากมวลชนมาปะทะ ซึ่งจากสถานการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจยังสามารถควบคุมได้

จ่อส่งร่างประชามติถึงสภาศุกร์นี้
ในขณะเดียวกัน นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง เปิดเผยว่า กกต.จะนำร่าง พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติส่งให้คณะกรรมการด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ ที่มีนายบุญทัน ดอกไธสง เป็นประธาน พิจารณาในรายละเอียดเรื่องของกฎหมายและวิธีปฏิบัติที่อาจจะแตกต่างจากของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ในการทำประชามติครั้งที่ผ่านมา และจะนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ กกต.ในวันพรุ่งนี้ (29 พ.ค.) เพื่อขอมติว่าเห็นชอบร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวหรือไม่ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและส่งไปยังรัฐสภาได้ในวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคมนี้
ทั้งนี้ การยกร่าง พ.ร.บ. ได้นำกฎหมายประชามติปี 2541 มาเป็นต้นร่าง จึงทำให้การพิจารณาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะมีทั้งหมด 40 มาตรา โดยเนื้อหาและรายละเอียดจะไม่แตกต่าง แต่วิธีการจะแตกต่างกัน เพื่อให้สอดคล้องกับ รธน.ปัจจุบัน

ตั้งวอร์รูมจับตาม็อบพันธมิตร
ขณะเดียวกันในส่วนของพรรคพลังประชาชน ก็มีการประเมินสถานการณ์ โดยเชื่อว่ากลุ่มพันธมิตรฯ มีความพยายามที่จะชุมนุมยืดเยื้อ

ร.ท.กุเทพ ใสกระจ่าง โฆษกพรรคพลังประชาชน แถลงว่า จากการประเมินการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีแนวโน้มยืดเยื้อและมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาล ดังนั้นเพื่อให้รู้เท่าทันความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ และเป็นการใช้ข้อมูลข่าวสารทำความเข้าใจกับประชาชน พรรคพลังประชาชนในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์ติดตามข้อมูลข่าวสาร (วอร์รูม) โดยมีกองโฆษกพรรคพลังประชาชนเป็นศูนย์กลางพร้อมกับเปิดให้ส.ส.พรรคเข้าร่วมวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จากนั้นข้อมูลที่ได้จะส่งมอบให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และนำเสนอต่อประชาชนต่อไป อย่างไรก็ตามพรรคเห็นว่าท่าทีของนายสมัครต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยใช้ปัญญาอยู่เหนืออารมณ์ ถือเป็นเรื่องที่เหมาะสมและถูกต้องแล้ว

ร.ท.กุเทพ กล่าวอีกว่า สถานการณ์การเมืองก่อนรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 และปัจจุบันแตกต่างกัน วันนี้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีส.ส.ในสภา ซึ่งที่ยังทำงานได้ไม่ครบ 3 เดือน และมีปัญหาปากท้อง ปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงสาหัส ดังนั้นควรให้เวลารัฐบาลได้เร่งแก้ไข โดยที่ประชาชนในชาติต้องร่วมแรงร่วมใจกัน แต่กลุ่มพันธมิตรฯกลับเลือกเป็นโอกาสซ้ำเติมสถานการณ์ประเทศ ตนจึงฝากไปยังแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯว่าจะเอาประโยชน์ส่วนตัวอยู่เหนือส่วน รวมใช่หรือไม่

พันธมิตรกล่าวหาไร้หลักฐาน
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะปักหลักชุมนุนยืดเยื้อ จนกว่าจะมีการถอนมติแก้ไข รธน. ว่าอาจจะกลายเป็นปัจจัยที่นำไปสู่ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น คิดว่าถ้าทุกคนทำตามกฎหมาย กติกา บ้านเมืองน่าจะมีความสงบเรียบร้อย แตไม่เข้าใจว่าพันธมิตรฯ ชุมนุมเพื่ออะไร รัฐบาลเพิ่งทำงานได้ไม่นาน และได้ให้ความสำคัญกับเรื่องปากท้องของประชาชน ไม่ใช่เน้นแต่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียว การชุมนุมก็เป็นผลสะท้อนอย่างหนึ่ง แต่ก็ต้องคำนึงถึงด้วยว่าเป็นการสร้างปัญหาให้กับประชาชนโดยรอบหรือไม่ เพราะตอนนี้ประชาชนก็ได้รับความเดือดร้อน ถนนหนทางก็ถูกปิด จึงอยากเรียกร้องกลุ่มพันธมิตรฯ หากจะมีการจัดชุมนุม ก็ควรคำนึงถึงประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของพวกตนด้วย

ส่วนที่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้มีการเปลี่ยนประเด็น เป็นการขับไล่รัฐบาล ไม่ปกป้องสถาบัน อยากบอกว่า ไปเอาที่ไหนมาพูด มากล่าวหากันแบบนี้ มีเหตุผลหรือหลักฐานอะไรหรือเปล่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลโดยชอบที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และได้รับการโปดเกล้าฯ ไม่เคยทำอะไรที่ไม่ดีไม่งามอย่างนั้น และอยากขอย้ำว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือเข้ามาข้องเกี่ยวกับการทำงานของพรรคแต่อย่างใด

“บุญสร้าง”อุ้มม็อบข้างถนน
ด้าน พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ที่เคยออกมาแบะท่าเรื่องการปฏิวัติ กล่าวว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หากอยู่ในขอบเขตของกฎหมายก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ขณะที่การชุมนุมจะยืดเยื้อออกไปและจะมีปัญหาการปะทะกันของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่นั้น ก็สามารถเป็นไปได้ แต่อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นมาหรือไม่

“ส่วนการดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้หากสถานการณ์การชุมนุมบานปลายออกไป ฝ่ายทหารคงจะไม่ออกมาควบคุมสถานการณ์ เพราะถ้าทหารออกมาเป็นเรื่องที่เข้าขั้นเป็นยาแรง และเมื่อไหร่ที่ใช้ความรุนแรง ก็จะไม่ได้ผล รวมถึงปัจจัยชี้วัดอยู่ที่รัฐบาลจะเป็นผู้สั่งการ”พล.อ.บุญสร้างกล่าวและว่า ขอให้ผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายรักกันดีกว่า ช่วยกันสร้างบ้านเมืองสิ่งใดที่มีปัญหาขัดแย้งกันก็พูดคุยกันด้วยความเป็นมิตร ด้วยความตั้งใจที่ดีแก่ชาติบ้านเมือง

ทยอยแจ้งความรถติด-หนวกหู
ส่วนทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็มีการประเมินสถานการณ์เช่นกันว่าการชุมนุมอาจมีความยืดเยื้อ และพยายามจะมีการเจรจาให้กลุ่มผู้ชุมนุมออกจากพื้นผิวทางจราจร เพราะมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่เป็นผล

พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สรุปภาพรวมการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อคืนที่ผ่านมาว่า มีผู้เข้าร่วมชุมนุมประมาณ 5,000 คน โดยมีผู้เข้าร่วมเพิ่มมากขึ้น จึงเชื่อว่าจะทำให้การชุมนุมมีความยืดเยื้อ แต่ตำรวจจะดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง และเจรจากับแกนนำให้ออกจากพื้นผิวจราจร เพราะขณะนี้กลุ่มประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนไปแจ้งความดำเนินคดีไว้แล้วหลายราย ซึ่งยืนยันว่าไม่ใช่การเกณฑ์คนไปแจ้งความตามที่มีกระแสข่าว โดยตำรวจได้สอบสวนผู้เสียหายทั้งหมดแล้ว
นอกจากนี้ยังมีผู้เดือดร้อนอีกจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบจากเสียงและผลกระทบจากการจราจรที่ติดขัด ทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เป็นต้น

นอกจากนี้ พล.ต.ต.สุรพล ยืนยันว่าตำรวจทุกหน่วยในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ได้ปล่อยเกียร์ว่างในการปฏิบัติหน้าที่

ภาพประชาทรรศน์มัดม็อบชั่ว
ด้าน พ.ต.ท.ภูเบศ เส้นขาว รองผกก.สน.นางเลิ้ง เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเกิดเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มต่อต้านพันธมิตร เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม ที่ผ่านมาจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ว่าเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบรายชื่อและที่อยู่ของผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวจาก รพ.วชิรพยาบาล จำนวน 16 คน และรพ.วิชัยยุทธ 1 คน แต่ทั้งหมดยังไม่ยอมมาแจ้งความ

ทั้งนี้ได้ดำเนินการออกหมายเรียก เพื่อเป็นผู้กล่าวหากับผู้บาดเจ็บทั้งหมด เพื่อให้เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนแล้ว ส่วนกรณีหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ มีการตีพิมพ์ภาพเหตุการณ์ โดยพบผู้กระทำผิดและผู้ถูกกระทำอย่างชัดเจนนั้นจะได้ทำการตรวจสอบ และหากพบว่าเป็นหลักฐานได้ก็จะทำการออกหมายจับตัวคนร้ายต่อไป

อนึ่ง ภาพที่ประชาทรรศน์ นำเสนอเป็นภาพกลุ่มคนที่มีผ้าโพกหัวและผ้าพันคอมีข้อความ “กู้ชาติ” พร้อมอาวุธครบมือ กำลังรุมทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้จนได้รับบาดเจ็บสาหัส รวมทั้งประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่