WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, May 28, 2008

‘ทักษิณ’พร้อมแจงที่มา7.6หมื่นล. ทนายซัดคตส.ปัดฟังพยานจำเลย

“พงศ์เทพ” ยัน ที่มาทรัพย์สินอดีตนายกฯ ได้มาก่อนดำรงตำแหน่ง พร้อมชี้แจงที่มาให้ทุกฝ่ายรู้ความจริง “ทีมทนาย” แฉ คตส.ปัดสวะเพราะใกล้หมดอายุ ทั้งยังทำงานน่าสงสัย ตั้งข้อกล่าวหาด้วยการสันนิษฐาน พร้อมกลั่นแกล้งปัดไม่ฟังพยานจำเลยหลายปากดื้อๆ

ภายหลัง คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มีมติส่งเรื่องให้อัยการสั่งฟ้องยึดทรัพย์กว่า 7.6 หมื่นล้านบาทของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น ในวันนี้ (27 พ.ค.)

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวก่อนเดินทางร่วมคณะของพ.ต.ท.ทักษิณ ไปประเทศอินโดนีเซีย เพื่อร่วมประชุมเกี่ยวกับการลงทุนในภูมิภาค ต่อกรณีดังกล่าวว่า ทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีมาก่อนเข้าดำรงตำแหน่งทางเมือง ไม่ใช่ทรัพย์สินที่มีขึ้นหลังจากการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมพิสูจน์เรื่องดังกล่าวในชั้นศาลเพื่อให้ทุกฝ่ายทราบความจริง

“มันเป็นทรัพย์สินแต่เดิมที่มีอยู่ ต่อมามีการโอนอะไรกัน ก็เป็นทรัพย์สินก้อนเดียวกัน ในส่วนเฉพาะที่เกี่ยวกับลูกท่าน ไม่ใช่หุ้นใหม่ ไม่ได้เป็นการหาหุ้นใหม่อะไร” โฆษกส่วนตัวอดีตนายกฯ กล่าว พร้อมชี้แจงถึงการลงทุนโครงการโมเดิร์น ซิตี้ ที่เกาะกง ประเทศกัมพูชา ด้วยว่า ไม่ใช่การลงทุนของพ.ต.ท.ทักษิณ แต่พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเพียงผู้เชิญชวนให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน เพราะเชื่อว่าจะได้ประโยชน์กับประเทศไทย

ขณะที่นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกรณีที่ คตส.มีมติส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ทีมทนายความ คาดการณ์ไว้แล้วต้องออกมาในลักษณะนี้ เนื่องจาก คตส.เหลืออายุการทำงานอีกเพียง 1 เดือน หากไม่เร่งดำเนินการ คำสั่งอายัดทรัพย์จะหมดไปตามวาระด้วย อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหุ้นตั้งแต่ก่อนเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมือง พร้อมระบุ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่รู้สึกกังวลและได้กำชับทีมทนายความ ให้เตรียมพยานหลักฐานเอกสารไว้ต่อสู้ในชั้นศาล และเมื่อถึงขั้นตอนนั้น อาจต้องขอให้ศาลใช้อำนาจในการเรียกเอกสารเพิ่มเติม

นอกจากนี้ นายฉัตรทิพย์ ยังระบุว่า การทำงานของ คตส.มีลักษณะเคลือบแคลงในการตั้งข้อกล่าวหา ซึ่งไม่มีหลักฐานชัดเจน เป็นเพียงการตั้งข้อสันนิษฐานเท่านั้น รวมทั้งการที่ทนายความอ้างพยานจำนวนหลายปาก ก็ไม่ได้รับความเห็นชอบจาก คตส. ด้วย

ในอีกด้านหนึ่ง นายกล้าณรงค์ จันทิก กรรมการคนหนึ่งของ คตส.กล่าวถึงกรณีที่นายพงษ์เทพ ออกมาระบุ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมพิสูจน์ที่มาของทรัพย์จำนวนดังกล่าวเป็นสิ่งที่ได้มาก่อนหน้าที่จะเข้าดำรงตำแหน่ง ว่า ก็แล้วแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นสิทธิ์ที่กระทำได้ แต่คณะกรรมการ คตส.มีมติให้อายัดทรัพย์ เนื่องจากดูจากพฤติกรรมต่างๆ หลายอย่างประกอบไปด้วย ไม่ได้ดูเพียงที่ไปที่มาอย่างเดียว

เมื่อถามถึงความมั่นใจหลังส่งเรื่องอายัดทรัพย์ดังกล่าวให้กับทางอัยการสูงสุดแล้ว นายกล้าณรงค์ ตอบแต่เพียงว่า เรื่องดังกล่าว กรรมการได้ดูอย่างละเอียดแล้ว เชื่อว่าข้อกล่าวหานี้มีมูลเพียงพอ ซึ่งยืนยันอีกครั้งว่า มติดังกล่าวเป็นเอกฉันท์ จากคณะกรรมการคตส.ทุกคน

ขณะที่ นายแก้วสรร อติโพธิ เลขานุการ คตส. กล่าวผ่านรายการ “เจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์” ถึงกรณีที่ คตส.มีมติให่ส่งเรื่องต่อศาลเพื่อยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า คำตอบสุดท้ายคือ ทักษิณซุกหุ้นชินฯภาค 2 ในชื่อของคนอื่นๆ ในขณะที่ตัวเองเป็นนายกฯ และพบว่ามีการฉ้อฉลเชิงนโยบายเอื้อประโยชน์ ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่ คตส.ตั้งข้อกล่าวหาและให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้แจง แต่เมื่อชี้แจงแล้ว คตส.เห็นเป็นอื่นไม่ได้ ก็ใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เห็นว่าร่ำรวยผิดปกติ ให้ยื่นศาลยึดทรัพย์เป็นของแผ่นดิน

นายแก้วสรร อธิบายด้วยว่า การร่ำรวยผิดปกติมี 2 ชนิดคือ รวยมาแล้วชี้แจงไม่ได้ว่ามาจากไหน อีกอย่างคือได้ทรัพย์สินมาโดยมิสมควรโดยใช้ตำแหน่งหน้าที่ ซึ่ง คตส.ใช้ข้อหลังนี้ดำเนินการ เพราะบุคคลใดก็ตามที่เป็นรัฐมนตรีจะถือประโยชน์ทับซ้อนไม่ได้ สัญญาสัมปทานก็ห้ามถือ เพราะเป็นประโยชน์สาธารณะ

“ที่ผ่านมา กฤษฎีกาชี้ว่า ทำโดยมิชอบ 3 เรื่อง ความเสียหายแสนกว่าล้านบาท ใน 5 เรื่องที่เป็นคดีความ ท่านก็บอกว่าไม่รู้ แต่ใน 5 เรื่องนี้ มี 2 เรื่องที่เราได้หลักฐานว่า ท่านเป็นคนสั่ง ก็แสดงให้เห็นว่า ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการฝ่าฝืนข้อห้ามทางกฎหมาย จึงไม่สมควร และไม่ต้องเถียง เหมือนเจอพระในห้องกับสีกา ก็ไม่ต้องเถียงแล้ว เพราะไม่เหมาะสม เราจับได้ว่าคุณทำ 2 เรื่อง อีก 3 เรื่องก็ไม่ต้องเถียง ท่านเป็นเจ้าของชินคอร์ปครึ่งหนึ่ง หุ้นที่ท่านถืออยู่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่ถูกต้อง เราตั้งข้อหาและให้ท่านชี้แจงและคิดว่าท่านแก้ไม่ได้ ก็เลยมีมติให้ส่งไปที่ศาล ต่อไปก็ขึ้นกับอัยการ ถ้าเห็นว่าสำนวนพอฟ้อง ก็ร่วมมือกับเรา หากไม่เห็นด้วย เราก็ฟ้องเอง”นายแก้วสรรกล่าว

เลขานุการคตส. กล่าวต่อว่า ตัวเลข 7.6 หมื่นล้านบาทที่จะยึดทรัพย์ครั้งนี้ คตส.นับตัวหุ้นที่เปลี่ยนเป็นเงิน อีกทั้งหุ้นตัวนี้มีการคลอดลูกออกมา รวมถึงเงินปันผล ก็คือ 7.3 หมื่นล้านบวกเงินปันผล โดยหักภาษีแล้วด้วย ก็ประมาณ 7.6 หมื่นล้านบาทเศษ โดยกระบวนการยึดทรัพย์นั้น เท่าที่ คตส.ติดตามและอายัดไว้ได้คือ 6.2 หมื่นล้านบาท กยังมีส่วนต่างอีก 1.4 หมื่นล้านบาท ที่หาตัวเงินไม่เจอแล้ว ซึ่งเมื่อส่งฟ้องศาล ก็ต้องให้ศาลสั่งอายัดต่อ