WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, May 28, 2008

แจงหมดเปลือก ย้ำ...ความจงรักภักดี

นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดใจถึงข้อกล่าวหาจาบจ้วงสถาบัน ที่มีคนบางกลุ่มพยายามใช้เป็นประเด็นโจมตีรัฐบาลไปเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ดังที่ “ประชาทรรศน์” ได้นำเสนอไปแล้ว และในช่วงท้ายของการแถลงข่าว ยังได้เปิดให้สื่อมวลชนซักถามอย่างหมดเปลือก โดยมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่หลายคำถาม

เมื่อถูกถามถึงการตัดสินใจลาออก นายจักรภพ ระบุว่า หลายวันที่ผ่านมา มีบุคคลที่ช่วยให้ความเห็นมากมายเหลือเกิน จนจำไม่ไหว เอาเป็นว่ามีความเห็นทุกอย่างทุกประการ จากทุกคน ตนคงจะไม่เจาะจงว่าเป็นใคร แต่สรุปก็คือว่า “ผม นายจักรภพ เพ็ญแข คือผู้ตัดสินใจในเรื่องนี้”

พร้อมทั้งระบุว่ายังไม่มีเหตุผลที่จะลาออก
“ถ้าออกไปตอนนี้สังคมก็ไม่ได้ความจริง คนที่พยายามจะเสี้ยมให้เกิดความแตกแยกกัน ก็จะเสี้ยมเรื่องอื่นต่อไป สังเกตไหมละครับว่า บ้านเมืองตอนนี้มันมาถึงจุดที่ว่า ถ้าไม่มีเรื่องจักรภพ ก็เตรียมจะมีเรื่องอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นประเด็นก็คือว่า ผมต้องรับผิดชอบส่วนของผม นี่เป็นคำกล่าวหาที่สำคัญและใหญ่หลวง ผมต้องตอบให้ได้

เพียงแต่ว่าการที่จะต้องแสดงความรู้สึกผ่านขบวนการแบบที่พรรคประชาธิปัตย์และพันธมิตรฯ เรียกร้อง ผมคิดว่าไม่ใช่เวลาที่จะแสดงตรงนั้น ผมตั้งใจจะทำประโยชน์กับบ้านเมือง พี่น้องประชาชนมีความสงสัยจากคำที่ถูกกล่าวหาขึ้นมา เราก็ใช้เวลาเช่นนี้แหละครับในการทำความเข้าใจกัน เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเรื่องนี้จะผ่านพ้นไปได้ แล้วจะเกิดความสบายใจกันมากขึ้น”

ส่วนการลากิจ 7 วันจะช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไรนั้น นายจักรภพ บอกว่า เวลา 7 วันที่ลากิจคงแก้ไขปัญหาทุกอย่างไม่ได้ แต่จะเป็นการทำให้เกิดประโยชน์ 2 อย่าง อย่างแรกที่สุด คือ ตนเองมีเวลาตั้งสติ แล้วกลับไปทบทวนดูว่ามีอะไรในพฤติกรรมของตัวเอง ซึ่งทำคนให้เกิดความคลางแคลงใจถึงขั้นกล่าวหา ที่ร้ายแรงอย่างนี้ ก็ต้องประเมินตัวเองก่อน
อย่างที่ 2 ก็คือ ต้องการที่จะให้สังคมที่มีสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นสังคมส่วนใหญ่ของเรา ไม่ใช่กลุ่มคนเล็กน้อยที่พยายามก่อให้เกิดความเข้าใจผิด

เพื่อให้คนส่วนใหญ่ ได้มีโอกาสนำเอกสารเหล่านี้ไปศึกษาอีกครั้ง

ถ้าพูดวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ทำงานต่อ พยายามจะไปเรื่องอื่นแล้วมันไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องใหญ่ มันต้องใช้เวลาค่อยๆ คิด ค่อยๆ พิจารณา ค่อยๆ ตัดสินใจ

สำหรับการฟ้องร้องกับพรรคประชาธิปัตย์ จะให้ฝ่ายกฎหมายสรุปเรื่องนี้โดยเร็ว แล้วจะได้ดำเนินการต่อไป แต่ว่าตามลำดับความเร่งด่วนจะรองลงไปจากการที่ต้องชี้แจงตนเองให้เป็นที่ชัดเจนก่อน หน้าที่คือทำให้ตัวเองเคลียร์ก่อน ให้ตัวเองชัดเจนก่อน เพื่อให้ทำงานต่อไปได้

ส่วนของการเอาผิดของคนที่ใช้สถาบันเป็นเครื่องมือ ซึ่งถือว่าเป็นความผิดที่น่าเกลียดมาก ก็จะดำเนินตอนไปเป็นก๊อก 2

ขณะเดียวกันก็ไม่เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะนำไปสู่การเป็นชนวนขัดแย้งทางการเมือง

“ชนวนที่ว่านี้มันไม่ได้อยู่ที่ปากคน มันอยู่ที่เอกสาร ซึ่งต้องพิสูจน์กันตามกฎหมาย ถ้าเอกสารนั้นมันมีความไม่ดี มีความผิดกฎหมาย เอกสารนั้นแหละครับจะเป็นชนวนที่นำมาสู่ปัญหาในทางการเมืองได้

โดยส่วนตัว ผมอยากให้มีการแปลอีกหลายสำนวนเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันที่ได้รับการยอมรับ หรือได้รับการรับรองจากองค์กรที่เป็นทางการ เช่น ศาล อัยการ โดยส่วนตัวผมอยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ผมจะไม่ออกไปดำเนินการเอง เนื่องจากว่าเราต้องเคารพวิจารณญาณของพนักงานสอบสวน เอาเป็นว่าโดยส่วนตัวผมอยากเห็นคนอื่นทำ แต่ผมเองขอทำเพียงแค่นี้"

เมื่อถามถึงข่าวที่ระบุว่าถูกโดดเดี่ยวจากพรรคพลังประชาชน นายจักรภพ กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยได้อยู่คนเดียวเลย อบอุ่นทั้งวันทั้งคืน เอาเป็นว่ามันไม่มีความโดดเดี่ยว แต่มันมีคำว่าความรับผิดชอบส่วนบุคคล ในความรับผิดชอบส่วนบุคคลนั้น ตนจะไปดึงใครมาเกี่ยวข้องไม่ได้ ตนเท่านั้นที่เป็นผู้อธิบาย

“ผมคือผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นเบื้องสูง ผมคือผู้ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นข้าพระบาท ผมก็ต้องเป็นคนพิสูจน์และตัดสินใจอนาคตของตัวผมเอง คนอื่นเป็นความเห็นที่รับฟังด้วยความเคารพนับถือ และนำมารวมในการตัดสินใจครั้งนี้”

ส่วนที่ใครจะมองว่าเกี่ยวโยงกับความเป็น นปก. เรื่องนี้คงไม่ได้เกี่ยวกัน นั่นเป็นขั้นตอนของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย คนที่นั่งอยู่ข้างตนมีความสัมพันธ์ทางใจกันมาในยุค นปก. เพื่อนกัน รักกัน เข้าใจกัน ยืนอยู่ข้างกัน ความสัมพันธ์ส่วนตัวคงไม่มีทางที่จะลบเลือนไปได้

ขณะที่อาจจะถูกมองว่าเป็นสายล่อฟ้าหรือเป็นเป้าทางการเมือง นายจักรภพ กลับไม่คิดเช่นนั้น

“ผมไม่ถือว่าผมเป็นเป้าเลยนะครับ ผมคิดว่าโชคชะตาฟ้าดินทำให้ผมได้เริ่มต้นชีวิตทางการเมือง โดยเคลียร์ตัวเองให้ใสสะอาดเรื่องนี้ก่อน นี่คือโชคดีของผม ถ้าผมเป็นนักการเมืองไปแล้ว 5 ปี 10 ปี 20 ปี แล้วผมมาโดนเรื่องนี้อาจจะลำบาก แต่วันนี้ผมเป็นเด็กอนุบาลทางการเมือง ผมเพิ่งเริ่มต้นเป็นรัฐมนตรีมาได้ 3 เดือนเศษ แล้วมาเจอเรื่องนี้ แล้วผมอธิบาย ซึ่งผมเชื่อว่าผมอธิบายได้ และก็จะอธิบายไปเรื่อยๆ ใครถามก็จะอธิบายอีก

ผมเชื่อวันนี้เป็นการเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้ปักเสาทางการเมืองได้ลึกมาก ผมยังขอบคุณ คนที่หยิบเรื่องนี้มาอยู่ลึกๆ แต่แน่นอนครับ เรื่องแบบนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับใครทั้งสิ้นในเมืองไทย”

ขณะเดียวกันก็ยังมีคำถามถึงประเด็นที่เอ่ยถึง “คุณเปรม” นายจักรภพ กล่าวว่า ที่จริงมันก็ชัดเจนตามนั้น ก็เป็นบุคคลเดียวที่ตนเอ่ยชื่อถึง ซึ่งก็ไม่ได้เปลี่ยนความคิดจากเรื่องนั้น เพียงแต่ว่าประเด็นในวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับ พล.อ.เปรม ประเด็นในวันนี้เกี่ยวข้องกับว่า ตนได้พูดถึงสถาบันระดับสูงหรือไม่

“เราต้องมานั่งเอาหลักฐานออกมาเลยครับว่าไม่ใช่ ไม่จริง ให้คนได้เห็นและตัดสินด้วยตนเอง ซึ่งเรื่องนี้จะไปพาดพิงกับใครอื่น ซึ่งไม่ใช่สถาบัน และก็ไม่มีใครคิดว่าท่านคือสถาบัน เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องมีการพิจารณากัน เรื่องนี้ผมไม่ได้กระมิดกระเมี้ยนหรือปิดบังเป็นความลับ ก็เป็นอย่างนั้นแหละครับ ขึ้นต้นประโยคแรกด้วยซ้ำไป”

และในขณะที่สัมภาษณ์ก็มีสื่อมวลชนบางคนพยายามที่จะย้ำว่า พล.อ.เปรม เป็นส่วนหนึ่งของสถาบัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ซึ่งมีคำอธิบายอย่างชัดเจนจากนายจักรภพ

“ผมได้เคยอัญเชิญพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวมาแล้วครั้งหนึ่ง จริงๆ ถ้าไม่ถามเรื่องนี้ผมก็ไม่อยากอัญเชิญมาอย่างไม่จำเป็น รับสั่งไว้ครับในการเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดทำเนียบองคมนตรีว่า องคมนตรีนั้นมีหน้าที่ให้คำปรึกษากับพระมหากษัตริย์ แต่เมื่อไรก็ตามที่ให้คำปรึกษากับคนอื่น ก็ไม่ถือว่าทำหน้าที่องคมนตรี

เพราะฉะนั้น ในบทบาทของการเป็นประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษนั้น ทุกคนเทอดเอาไว้ ท่านเป็นบุคคลที่ทำประโยชน์ให้ประเทศมามากในอดีต แต่ในบทบาทที่เข้ามาเกี่ยวข้องหรือเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่เป็นพระราชกิจนั้น ก็เป็นเรื่องที่สังคมวิจารณ์ได้”

ผู้สื่อข่าวยังคงรุกต่อด้วยคำถามว่า จะมีม็อบสนามหลวงออกมาเคลื่อนไหวปกป้องหรือไม่ มีคำตอบว่าใครก็ปกป้องใครไม่ได้ถ้าหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะฉะนั้นการที่ออกมาแสดงความรู้สึกนึกคิดออกมาแสดงความเป็นห่วงกังวลนั้น ไม่ใช่เป็นการปกป้อง

“ถ้าหากใครก็ตามที่ทำผิดเกี่ยวกับสถาบัน ใครปกป้องก็ผิดด้วยนะ เท่ากับปกป้องคนผิด เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็ขอให้ชัดเจนนะครับว่าไม่มีอะไรแบบนั้น”

ขณะเดียวกัน นายจักรภพยังย้อนความถึงการดำเนินการนับแต่ถูกกล่าวหา

“ทันทีที่ถูกข้อกล่าวหา ผมก็เชิญนักฎหมายไม่รู้กี่เจ้า ยอมรับว่ากังวล ยอมรับว่าหนักใจ ยอมรับว่าตอนนั้นคิดเรื่องงานไม่ออกเลย เอาแต่เรื่องนี้ก่อน สำคัญที่สุดครับถ้าหากคนไทยสลัดข้อกล่าวหาว่าหมิ่นเบื้องสูงไม่ได้จากตัว ก็ไม่ต้องทำเรื่องอื่นแล้ว เพราะฉะนั้นผมเตรียมตัวมาแล้วตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ฉะนั้นคดีความจะไปถึงขั้นไหน ขอให้อยู่ในกระบวนการยุติธรรมแล้วกัน จะตามไปให้เหตุผล ตามไปตอบคำถามทุกขั้นตอน ไม่ให้ขาดตกบกพร่องเลย”

ส่วนคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี หลังจากการไปขอลากิจ 7 วันนั้น

“ท่านนายกฯ เป็นคนที่ไม่ต้องสั่งอะไรเยอะครับ ผมว่าท่านเป็นผู้นำที่ให้เกียรติผู้ใต้บังคับบัญชามากที่สุดท่านหนึ่งที่ผมเคยรู้จักในชีวิต ไม่ได้หมายความว่าท่านปกป้องโดยไม่มีเหตุผล ไม่ได้หมายความว่าท่านเข้าข้างโดยไม่มีเหตุอันควร แต่ท่านเป็นคนที่ถามคำถามได้ตรงกับหัวใจของเรื่อง หรือเมื่อถามแล้วท่านรู้แล้ว ท่านสอบทวนแล้วว่าเป็นอย่างนั้นจริง ท่านจึงตัดสินใจ

นี่คือความเป็นผู้นำ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องพูดอะไรกันมาก เพียงแต่เมื่อถามผมก็เลยถือโอกาสนี้ครับผมขอกราบขอบพระคุณท่านนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช เพราะภายใต้การนำของท่าน ในวิกฤติส่วนตัวที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนี้ ผมไม่คิดว่ามีผู้ใหญ่คนไหนที่ให้สติ ให้แนวทางในการดำเนินชีวิตได้ดีอย่างนี้ ผมกราบขอบพระคุณท่านนายกฯ มา ณ ที่นี้ด้วย

อย่างไรก็ดี แม้คำถามจะเลยจากประเด็นสถาบันไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีผู้สื่อข่าวย้อนกลับมาถามอีกว่า สถาบันพระมหากษัตริย์หมายถึงอะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง

ซึ่งมีคำตอบที่เข้าใจง่ายและชัดเจน

“สถาบันพระมหากษัตริย์ คือสิ่งที่เราพูดด้วยหัวใจ และก็ไม่พยายามพูดด้วยปาก เป็นการกระทำที่เราทำถวายและจะต้องไม่เอามาอวดอ้าง ยกเว้นแต่จะถูกตั้งคำถาม เหมือนอย่างที่ผมถูกถามอยู่ในตอนนี้ ก็เลยต้องออกมานั่งพูด สถาบันจะต้องอยู่คู่กับเมื่องไทยตลอดไป ไม่ว่าจะเปลี่ยนรัฐบาลกี่ชุด เปลี่ยนผู้นำในหมู่ราชการไปกี่ครั้ง สถาบันก็ยังคงเป็นขวัญและกำลังใจ นั่นคือความหมายของสถาบันพระมหากษัตริย์”

นอกจากนี้ก็ยังมีคำถาม...การรัฐประหารที่ผ่านมา คิดไหมว่าไม่ควรจะนำเรื่องนี้มาพูดอีกต่อไป

นายจักรภพ ตอบว่า เรื่องนี้มีบทเรียนมาก เรื่องการทำอะไรที่หมิ่นเหม่หรือฉิวเฉียด มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ นี้เป็นเหตุผลส่วนตัวของตน ตนได้ใช้เวลาไปคุยกับผู้ใหญ่หลายท่าน ทั้งหมดที่พูดไม่ได้หมายความว่าตนเพียบพร้อมสมบูรณ์ ไม่มีผิดเลย ความผิดของตนก็อยู่ที่ว่า ตนยังคิดเป็นนักวิชาการอยู่ในขณะที่มาเป็นนักการเมืองแล้ว

คิดเรื่องการให้ความรู้กับคน คิดเรื่องการอธิบายให้คนฟัง เพื่อให้คนที่นั่งฟังอยู่ได้รับข้อมูลความรู้ที่ดีที่สุด มันเป็นนิสัยตนก็ว่าได้ แต่ตรงนี้แหละที่ตนต้องเรียนรู้ เพราะในทางการเมืองนั้น ไม่ควรทำอะไรที่จะเป็นการเปิดช่อง เพราะจะทำให้คนที่อยากทำร้ายทำได้ง่ายเกินไป นี่คือบทเรียนที่ตนได้เรียนรู้

อย่างน้อย 1.ได้รู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์หยิบเรื่องนี้มาทำไม เพราะถ้าหากพูดในเชิงภาษาแล้วมันไม่มีประเด็น ก็อยากจะถามกลับว่าจะหยิบขึ้นมาทำไม

2.อยากให้คนรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันนานแล้ว ก็ควรจะหยุดสักที ตนคิดว่ากลวิธีทางการเมืองที่คิดอะไรดีๆ ไม่ได้ก็เลยให้ร้ายคนอื่น มันควรจะหมดไปได้แล้ว และไม่ควรนำความคิดที่เก่าสุดกู่มาใช้อีก

เมื่อถามถึงกระบวนการที่จ้องทำลายโดยการนำเอาสถาบันมาแอบอ้าง ได้คำตอบว่า

“ไม่มีหรอกครับกระบวนการจ้องทำลายอะไรแบบนั้น องคมนตรีเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ในขณะที่ถวายความเห็นต่อองค์พระมหากษัตริย์นั้นถือว่าทำหน้าที่ขององคมนตรีอยู่ แต่ในขณะเดียวกันเมื่อท่านมีชีวิตส่วนตัว ท่านเป็นที่ปรึกษาบริษัท ห้างร้าน ทั่วไป ตอนนั้นก็ไม่ได้เป็นองคมนตรี เพราะฉะนั้นการที่ใครจะคิดไม่ดีไม่ร้าย ใครที่คิดจะทำอะไรนั้น ผมคิดว่าเราควรจะเลิกใช้คำว่า สถาบันองคมนตรีเสียที พูดถึงองคมนตรีเป็นรายบุคคลกันดีกว่า”

มีคำถามต่อเนื่องกันว่า องคมนตรีและสถาบันที่เป็นสิ่งแวดล้อมของสถาบัน เห็นด้วยหรือไม่ นายจักรภพ ระบุว่า เป็นคำถามที่น่าสนใจ แต่เป็นคำถามที่ควรจะไปอยู่ในแวดวงวิชาการมากกว่า เพราะถ้าหากตนมาตอบตรงนี้ก็เท่ากับต่อความยาวสาวความยืด แล้วขยายเรื่องออกไป มันมีคนที่พยายามจะเรื่องนี้ให้ไม่จบเยอะแล้ว ขออย่าให้ตนไปร่วมสนุกกับเขาเลย

ส่วนเมื่อถึงเวลากลับมาทำงานต่อ แล้วมีกระแสยังไม่ลดลง นายจักรภพ ระบุว่าประเด็นนี้ค่อยว่ากันใหม่ คือทั้งหมดนี้ต้องหวังว่าสังคมต้องมีระยะเวลาในการเรียนรู้ ที่ผ่านมาไม่ได้เรียนเพราะอะไร เพราะว่าระดมโจมตีกันแบบหายใจหายคอไม่ทัน ก็เลยทำให้ไม่มีโอกาสอธิบาย ตอนนี้ก็เริ่มจะนิ่งกันนิดหนึ่ง ตนก็เลยอธิบายตอนนี้ แล้วตนก็ไม่ใช่คนอธิบายเอง ให้หลักฐานที่แท้จริงเป็นตัวอธิบาย แล้วจากนั้นเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ก็มาดูกันต่อไป

พร้อมกันนี้ยังทิ้งท้ายว่า ผู้ที่สนใจเนื้อหาของเอกสาร สามารถเข้าไปดาวน์โหลดทั้งต้นฉบับภาษาอังกฤษ คำแปลของผู้ร้องเรียน คือ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี คำแปลฉบับพรรคประชาธิปัตย์ และคำแปลของตนเอง ได้ที่เว็บไซต์
www.thaigolf.go.th, www.otm.go.th, www.pantip.com เพราะต้องการเผยแพร่และอยากให้เป็นสมบัติสาธารณะ