WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Wednesday, May 28, 2008

คำแปลโดยนายจักรภพ เพ็ญแข และคณะ

(จักรภพ) ขอบคุณมากครับโจนาธาน

ท่านแขกผู้มีเกียรติและมิตรสหายทั้งหลาย ผมตั้งใจจะกล่าวในรายละเอียด ถึงเหตุการณ์ที่ผมเพิ่งประสบมา เพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้เข้าใจถึงสถานะของผม ผมเพิ่งออกมาจากเรือนจำของคุณเปรม ซึ่งไม่ใช่เรือนจำทั่ว ๆ ไป แต่เป็นเรือนจำ ของคุณเปรม เป็นวิธีการสื่อสารโดยตรงกับสาธารณชนว่าเขาเป็นบุคคลที่ถูกแตะต้องไม่ได้ คุณเปรมเป็นใคร คุณเปรมเป็นตัวแทนของใคร คุณเปรมเป็นตัวแทนของคนๆ นั้นจริงหรือ นี่เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เราจะพูดคุยกันในคืนนี้ เพราะมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตของประชาธิปไตยของไทยดังที่ท่านทั้งหลายทราบดีอยู่แล้ว

ทั้งนี้ ท่านทั้งหลายต่างก็มีข้อมูลและความรู้ที่ดีมากเกี่ยวกับประเทศไทย และสถานการณ์ที่สลับซับซ้อนและชวนปวดหัวอย่างไม่จำเป็นของการเมืองไทย โจนาธาน (ผู้ดำเนินรายการ) ได้ตั้งหัวข้อในการสนทนาให้ผมที่กว้างมาก เรื่องประชาธิปไตยและระบบอุปถัมภ์ของไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสนทนาในเรื่องกระบวนการพัฒนาสู่ประชาธิปไตยของไทย ผมจะพยายามนำเสนอหัวข้อนี้อย่างที่ดีสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงสถานการณ์ของประเทศไทย

ในขณะนี้คงไม่มีหัวข้ออื่นใดที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยในปัจจุบันนี้มากไปกว่าหัวข้อที่เราจะพูดคุยกันในวันนี้อีกแล้ว ผมมีความเห็นว่าวิกฤตทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้เกิดจากการปะทะกันโดยตรงของวิถีทางประชาธิปไตย และระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นการปะทะกันอย่างรุนแรงและจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญประเทศไทย ทั้งสองฝ่ายต่างต้องเดิมพันสูงมาก สองฝ่ายนี้ผมหมายถึงวิถีทางประชาธิปไตยและระบบอุปถัมภ์ และถ้าท่านนำผลของการลงประชามติ เมื่อ 19 สิงหาคมที่ผ่านมาวิเคราะห์อย่างจริงจัง ท่านจะเห็นความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่าง คนไทยจำนวนร้อยละ 56 และร้อยละ 41 ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีครั้งใดที่คนจำนวนมาก ขนาดนั้นจะลุกขึ้นมาประกาศว่าเราไม่ต้องการะบบอุปถัมภ์อีกต่อไป

สิ่งที่คนเหล่านี้ต้องการคือประชาธิปไตย ไม่ใช่ใครสักคนที่จะมาตบหลัง ตบไหล่ แล้วบอกว่าฉันจะทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้นเล็กน้อย แต่เธอควรจะต้องสำนึกบุญคุณ ของฉันเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้ได้เวลาแล้วที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงความเข้าใจในเรื่องสิทธิโดยธรรมชาติของประชาชนคนไทยว่าเราไม่แตกต่างกับประชาชนคนชาติอื่นๆ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ผมเชื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ภายในชั่วชีวิตของท่าน การเปลี่ยนแปลงอย่างสมบูรณ์ที่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ณ เวลานี้

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยของเราได้เริ่มต้นขึ้นด้วยระบบอุปถัมภ์ ท่านทั้งหลายในที่นี้เกือบทุกท่าน คงได้เคยอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศไทยและประวัติศาสตร์ของเรา โดยย่อ เพราะเราตัดสินใจที่นับประวัติศาสตร์ของเราย้อนหลังไป 700 ปี และข้ามประวัติศาสตร์อีก 300 ปีก่อนหน้านั้น เพราะมันไปเกี่ยวพันกับปัญหา ความยุ่งยากในภาคใต้ นั่นคือเหตุผลที่เราเลือกที่จะนับจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไปที่ 700 ปีก่อน

ในยุคสมัยของสุโขทัย เรามีสุโขทัยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรที่ต่อมา ได้กลายมาเป็นประเทศไทยในปัจจุบัน ในช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนานของยุคสมัยสุโขทัย เราได้รับการเรียนรู้และทำให้เชื่อว่ากษัตริย์พระองค์หนึ่งสมัยสุโขทัย คือ กษัตริย์พระองค์นั้น มีพระนามว่า รามคำแหง ซึ่งถ้าจะเรียกให้ถูกต้อง ต้องเรียกว่า พ่อขุนรามคำแหง คติที่ว่ากษัตริย์คือองค์สมมติเทพยังไม่เป็นที่รู้จักในสมัยสุโขทัย

ดังนั้น ในยุคสมัยสุโขทัยเราจะเคารพและนับถือกษัตริย์ เพราะความที่ทรงเป็นเสมือนบิดาผู้ยิ่งใหญ่ที่มีความเมตตากรุณาต่อประชาชน และเป็นผู้ที่หยิบยื่นสิ่งที่ประชาชนต้องการในเวลาที่ประชาชนต้องการ ตัวอย่างที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งคือ การที่ท่านพ่อขุนรามคำแหงได้จัดให้มีการติดตั้งระฆังไว้ที่หน้าวัง ประชาชนคนใดที่มีปัญหาสามารถมาตีระฆัง แล้วท่านพ่อขุนรามฯ ก็จะเสด็จออกมา หรือข้าราชบริพารก็จะออกมาแก้ปัญหาให้ นี่คือบทเรียนบทแรกที่เด็กนักเรียนของไทยได้เรียนรู้เกี่ยวกับระบบการปกครองของไทยว่า เราต้องการพึ่งพาใครสักคน ถ้าเรามีปัญหา ให้ไปหาใครสักคนที่จะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้

ดังนั้นก่อนที่เราจะรู้ตัวด้วยซ้ำไป เราได้เข้าไปสู่ระบบอุปถัมภ์ เพราะเราถามหาการพึ่งพาอาศัย ก่อนที่เราจะพิจารณาถึงความสามารถของตนเองในการแก้ไขปัญหา แนวคิดพื้นฐานนี้เองที่ทำให้คนไทยเราแตกต่างจากคนชาติอื่น ๆ ทั่วโลก และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรา ในยุคสมัยสุโขทัย เรามีพระมหากษัตริย์ที่ปฏิบัติพระองค์เป็นที่พึ่งพิงของประชาชนเช่นนั้น ดังนั้นประชาชนจึงหน้าที่ในถวายความจงรักภักดี ประชาชนศรัทธาในระบบซึ่งปกครองพวกเขา เพราะนั่นคือระบบการปกครองที่ใช้ได้ผลในยุคสมัยนั้น และไม่มีระบบอื่นใดที่จะมาแข่งขันหรือแทนที่ หรือถ้าจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งในเวลานั้นไม่มีแนวความคิด หรือวิธีการที่เหมาะสมกว่าในการปกครองราชอาณาจักรของไทย ดังนั้นวิธีการปกครองประเทศเช่นนั้นจึงเป็นระบบที่ดีที่สุดในเวลานั้น

หลังจากนั้นก็ถึงยุคสมัยของอยุธยา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศเป็นเวลานานกว่า 400 ปี คติเรื่องกษัตริย์เป็นสมมติเทพได้รับการเผยแพร่เข้ามาในสมัยอยุธยาผ่านทางอารยธรรมขอม คติที่ว่าถือว่ากษัตริย์เป็นสมมติเทพ กษัตริย์ทรงเป็นตัวแทนของบรรดาเทพเจ้าของศาสนาฮินดูและเทพเจ้าอื่น ๆ ได้รับการยอมรับในประเทศไทยในสมัยนี้ ดังนั้นระบบของการอุปถัมภ์ที่ให้ความช่วยเหลือ หรือเป็นที่พึ่งพิงของประชาชนได้รับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบของการให้ความคุ้มครอง ถ้าท่านจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน ท่านจะได้รับความคุ้มครอง และเพื่อที่จะย้ำให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงการให้ความคุ้มครองนี้

ถ้าท่านมีพฤติการณ์ในทางอื่น ท่านจะต้องถูกลงโทษ ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าในสมัยอยุธยามีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง บางคนอาจจะคิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบถอยหลัง บางคนอาจจะคิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบพัฒนาขึ้น ไม่ว่าท่านจะคิดอย่างไรก็ตาม ระบบนี้เป็นการผสมผสานกันของการมีความเมตตากรุณาเยี่ยงบิดาผู้ยิ่งใหญ่ เช่น พ่อขุน และระบบของการมีผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เราอาจจะกล่าวได้ว่าพระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยาทรงมีพระราชอำนาจ สูงมาก และทัศนคติของการใช้พระราชอำนาจเพิ่งเป็นที่ยอมรับแพร่หลายในสมัยนั้นด้วย และถ้าผู้ที่มีอำนาจมีความเมตตากรุณาด้วย ท่านก็จะได้รับประโยชน์จากอำนาจนั้นเช่นกัน

อาจกล่าวได้ว่าสมัยอยุธยาได้สอนคนไทยให้เรียนรู้ที่จะอยู่กับอำนาจ เรียนรู้ว่าจะอยู่กับอำนาจได้อย่างไร จะเอาตัวรอดจากอำนาจได้อย่างไร และทำอย่างไรจึงจะไม่ถูกอำนาจนั้นทำร้าย แต่ยิ่งไปกว่านั้น สมัยอยุธยายังก่อให้เกิดรูปแบบของความสัมพันธ์แบบใหม่ คือความสัมพันธ์ของนายกับทาส ความสัมพันธ์ระหว่างขุนนางกับไพร่ หรือสามัญชน และนั่นคือสมัยอยุธยา

หลังจากนั้นเราก็มาถึงยุครัตนโกสินทร์ โดยผมขอข้ามระยะเวลา 12 ปีของสมัยธนบุรี ในยุคสมัยของกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งเราอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จักรีผู้ทรงก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้น ยุคสมัยนี้คือสิ่งที่เป็นการผสมผสานระหว่างสมัยอยุธยาและทักษะสมัยใหม่ที่เราอยากจะเรียกว่า “การบริหารจัดการความรู้” เราอาจกล่าวได้ว่า ความรุ่งเรืองของการปกครองโดยพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ผสานกับพระราชอำนาจในสมัยอยุธยา และสถานะของพระราชวงศ์ที่เป็นดังสมมติเทพได้รับการผสมผสานในยุครัตนโกสินทร์กับระบบของการ “บริหารจัดการความรู้” ในยุครัตนโกสินทร์คือยุคที่ความรู้คืออำนาจดังที่คนจำนวนไม่น้อยเชื่อเช่นนั้น และนั่นคือเหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำรัสเป็นภาษาอังกฤษในราชสำนัก และทรงได้นำการศึกษาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ตลอดจนการประดิษฐ์ มาสู่ประเทศไทย และทรงโปรดให้มีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่เป็นเรื่องใหม่ที่คนไทยในยุคนั้นไม่เคยรู้จักมาก่อน

ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ จึงทรงมีที่มาของพระราชอำนาจอีกประการหนึ่ง ประชาชนไม่ได้คิดแค่เพียงว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ หรือพระบิดาของชาติผู้ทรงเมตตากรุณาเท่านั้น แต่ประชาชนมองว่าพระองค์ทรงเป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอีกด้วย และเรายังคำนึงถึงพระองค์ท่านเช่นนั้นแม้จนในทุกวันนี้ เราอาจกล่าวได้ว่าระบบการปกครองของไทยในสมัยนั้นได้เป็นไปในทิศทางที่ว่าบรรดาผู้นำและผู้ปกครองได้ดำเนินการอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนเชื่อว่าผู้นำและผู้ปกครองสามารถเป็นที่พึ่งพิงของประชาชนได้ วิธีการที่แสดงถึงการเป็นหลักเป็นที่พึ่งพิงของประชาชนในแต่ละยุคสมัยก็แตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงของเวลาดังที่ผมได้เรียนท่านมาแล้ว

บัดนี้เราอยู่ในยุคของพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช หรือในหลวงรัชกาลที่เก้า เรามีระบบที่ผสมผสานของแนวคิดทุกอย่าง และจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ยาวนานถึงมากกว่า 60 ปีแล้ว พระองค์ทรงได้รับการยกย่องเป็นตำนาน (Myth) สถานภาพของพระองค์ในประเทศไทยจึงได้รับการเผยแพร่ คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เผยแพร่กันไปเกี่ยวกับพระองค์ท่านนั้นว่าเรื่องใดเป็นเรื่องจริง เรื่องใดเป็นความเชื่อ

ทั้งนี้เพราะพระองค์ ทรงครองราชย์มานานมากจนพระองค์ทรงเป็นทุกอย่างที่ได้มีการกล่าวถึง พระองค์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักวิทยาศาสตร์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักมาก และทรงได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้ปกป้องระบอบประชาธิปไตยของไทย ในแนวคิดใหม่

ดังนั้น เรากำลังเผชิญเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ที่เป็นตัวแปรอยู่ในสังคม แล้วเราต้องจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ใหม่ เราได้พลาดโอกาสที่สำคัญในอดีต เช่น เมื่อท่านปรีดี พนมยงค์ ผู้นำพลเรือนได้ทำการอภิวัฒน์ในปีพ.ศ. 2475 และเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชไปสู่ระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

โดยเหตุการณ์อภิวัฒน์นั้นเกิดขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือในหลวงรัชกาลที่ 7 ในภายหลังท่านปรีดีได้กล่าวว่าท่านได้เห็นอำนาจเมื่อท่านอายุ 32 แต่เมื่อท่านอายุใกล้ 50 ท่านก็สูญเสียอำนาจโดยสิ้นเชิง และต้องลี้ภัยไปอยู่ปักกิ่งถึง 10 ปี และใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายที่ฝรั่งเศส ท่านไม่ได้กลับคืนสู่ประเทศไทยอีกเลย เว้นแต่เถ้ากระดูกของท่านเท่านั้น ท่านได้เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อข้าพเจ้ามีอำนาจ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะดำเนินการอย่างไรกับอำนาจ เมื่อข้าพเจ้าอายุมากขึ้น และเรียนรู้ว่าควรทำอย่างไร ข้าพเจ้าก็ไร้ซึ่งอำนาจ แนวคิดของการมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานเป็นเสมือนเครื่องเตือนให้เราตระหนักว่าเราอาจต้องการผู้นำที่จะมาดำเนินการจัดลำดับความสำคัญต่าง ๆ ให้เรา

ท่านเห็นหรือไม่ครับ ทุกสิ่งที่ผมได้เล่าให้ท่านฟังตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้นำไปสู่ความ ยึดมั่นของคนไทยว่า การที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีความเมตตากรุณาเช่นนี้แล้ว เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีประชาธิปไตย เราถูกชักนำให้เชื่อว่ารูปแบบของรัฐบาลที่ดีที่สุด คือประชาธิปไตยภายใต้การชี้นำหรือภายใต้พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แนวคิดที่พัฒนามาในลักษณะนี้ทำให้เกิดเหตุการณ์ในปัจจุบันขึ้น

ซึ่งผมมองว่าเป็นการปะทะกันระหว่างวิถีทางประชาธิปไตยของไทยและระบบอุปถัมภ์ หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า คนไทยถูกทำให้รู้สึกคุ้นเคยกับระบบอุปถัมภ์ เราเริ่มประดิษฐ์คำอย่างเช่น “ไม่เป็นไร” ซึ่งอาจหมายความเช่นนั้นเพราะไม่มีวิธีการอื่นที่จะกล่าวแล้ว เราคิดค้นระบบของการยิ้มตลอดเวลาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะการยิ้มเป็นทางออกของปัญหาอย่างหนึ่ง อาจเป็นเพราะเราไม่มีวิธีการที่ดีกว่านี้ในเวลานั้น และเรายังมีความเชื่อที่ว่าค่าของคนคือคนของใคร ซึ่งเป็นการวัดคุณค่า ของคนบนพื้นฐานของฐานะหรือสังกัดของคน ซึ่งความคิดและถ้อยคำที่ใช้ในลักษณะนี้มาจากความรู้สึกที่ว่าการอุปถัมภ์เป็นสิ่งที่ยอมรับได้

ผมเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 1992 และในเวลานั้นผมไม่เคยเข้าใจว่าทำไมคนต้องโกรธเมื่อมีคนพยายามช่วยเหลือพวกเขา เพื่อนของผมบางคนตอบโต้ผมด้วยความโกรธ รวมทั้งคนอื่น ๆ ที่ผมเกี่ยวข้องด้วย เขาจะบอกว่าไม่ต้องมาทำเป็นดีกับฉัน ไม่ต้องมาช่วยฉัน ผมไม่เคยเข้าใจพวกเขาเพราะการได้รับความช่วยเหลือหรือการอุปถัมภ์เป็นสิ่งที่ถูกต้องในความคิดของผมในเวลานั้น การได้รับการยกยอ หรือชื่นชมก็เป็นเรื่องธรรมดาเพราะชีวิตของเราต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นอยู่แล้ว

ดังนั้นการได้รับการอุปถัมภ์จึงไม่ใช่การไม่มีอารยธรรม แต่เวลานี้เรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก และทำให้เกิดความขัดแย้งในปัจจุบัน เพราะเวลานี้มีคนจำนวนมากที่ก้าวออกมาและประกาศว่าเราไม่ต้องการความสุขลมๆแล้งๆแบบนั้นอีกแล้ว คนกว่าร้อยละ 41 ได้กล่าวปฏิเสธต่อร่างรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยเผด็จการ และ กลุ่มผู้สนับสนุนเผด็จการ ซึ่งเป็นผลของการพยายามในส่วนของภาครัฐที่ใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาลเพื่อที่จะโน้มน้าวให้ประเทศไทยทั้งประเทศกลายเป็นประเทศที่พูดคำว่า “ได้ครับ” เป็นอย่างเดียว

ท่านยังคงจำได้เพราะเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น มีคนส่วนหนึ่งเชื่อว่ามีความไม่ถูกต้องเกิดขึ้นในกระบวนการรณรงค์ให้คนยอมรับร่างรัฐธรรมนูญ หรือการนับคะแนนเสียง แต่เมื่อ นับรวมกับวิธีการเทคนิคต่าง ๆ ที่บรรดา “พี่ใหญ่” ทั้งหลายใช้ พวกเขาได้เสียงสนับสนุนเพียงร้อยละ 56 ซึ่งแทคติคนั้นรวมถึงการขึ้นป้ายขนาดใหญ่ทั่วทั้งกรุงเทพฯ และอาจจะมีนอกเขตกรุงเทพฯด้วย แต่ผมไม่เห็นนะครับ

ผมเห็นแต่ป้ายขนาดใหญ่ตลอดข้างทางดอนเมืองโทลเวย์จากสนามบินเก่าของเรา คือดอนเมือง ข้อความพวกนั้นก็เป็นไปในทำนองที่ว่าพวกเราคนไทย ควรจะออกเสียงไปในทิศทางเดียวกัน เราเชื่อมั่นใน สิ่งเดียวกัน เราต้องลงคะแนนเสียงเหมือน ๆ กัน แต่สิ่งที่สำคัญมาก ๆ ก็คือชื่อที่ลงท้ายข้อความต่าง ๆ ในป้ายขนาดใหญ่เหล่านั้น มีการระบุว่าเป็นกลุ่มคนใส่เสื้อเหลือง หรืออีกนัยหนึ่ง เมื่อนับคนใส่เสื้อเหลืองกลุ่มนั้นรวมกับเทคนิควิธีการต่าง ๆ แล้ว ก็ยังได้คะแนนเสียงแค่ร้อยละ 56 และนั่นคือปัญหาที่ใหญ่มาก ประเทศไทยของเราอยู่ใน หัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลง

ดังนั้นสิ่งที่เรากำลังพูดถึงเรื่องราวระหว่างวิถีทางประชาธิปไตยและระบบอุปถัมภ์ก็คือการที่ประชาชนมีอายุมากขึ้น ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ ตัวผมเองเติบโตขึ้นมาในระบบอุปถัมภ์ ผมเองก็ได้รับการชุบเลี้ยงอย่างดีเหมือนกัน พ่อของผมรับราชการในกองทัพอากาศ และต่อมาก็มาเป็นกัปตันสายการบินพาณิชย์ให้กับการบินไทย ในตอนที่คุณพ่อของผมเริ่มต้นงานกับการบินไทย ท่านเป็นหนึ่งในนักบิน คนไทยกลุ่มแรกของการบินไทย

ดังนั้นท่านจึงมีรายได้มากพอสมควรที่จะเลี้ยงดูครอบครัวและผมให้ไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากของชีวิตเหมือนอย่างที่คุณพ่อของผมเคยผ่านมา ดังนั้นผมจึงเติบโตมาในระบบอุปถัมภ์เช่นกัน แม้แต่เวลาอาหารผมก็ถือว่าเป็นสิทธิที่ผมต้องได้ ต้องมีอาหารเย็นมาเสิร์ฟบนโต๊ะเสมอ ผมไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกที่ว่าถ้ากินข้าวเย็นวันนี้แล้ว และพรุ่งนี้อาจจะไม่มีอะไรกิน แต่คุณพ่อของผมท่านเคยผ่านประสบการณ์เช่นนั้นแล้ว ผมเติบโตขึ้นมาในระบบเช่นนั้น เรียกว่า อยู่สุขสบายดี ผมเริ่มตั้งคำถามและข้อสังเกตระบบอุปถัมภ์ในภายหลัง

เมื่อผมได้มาทำงานเป็นสื่อมวลชนเต็มตัวทำงานให้กับสถานีโทรทัศน์และผมเริ่มจะตรวจสอบประเทศไทยและสังคมอย่างจริงจังมากกว่าเดิม ผมพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ ผมใช้เวลานานหลายปี และประสบการณ์ภายใต้การบริหารราชการของรัฐบาลทักษิณก่อนที่จะเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ เหล่านี้ ระบบอุปถัมภ์เป็นตัวปัญหาเพราะมันส่งเสริมให้มีความไม่เสมอภาค ความไม่เท่าเทียมระหว่างบุคคลทั่ว ๆ ไป และสิ่งนั้นเป็นการขัดแย้งกับหลักการของประชาธิปไตย เพราะมันส่งเสริมให้คนคิดที่จะพึ่งพิงบุคคลอื่น ๆ ระบบอุปถัมภ์ก่อให้เกิดทาสอย่างไม่จบสิ้นในขณะที่มีนายเพียงจำนวนน้อย ระบบอุปถัมภ์ ทำให้ประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาได้

ดังนั้น เมื่อได้รับการศึกษาอบรมมาเป็นเวลานาน ได้มีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวเกือบทั่วโลกเป็นเวลานาน ไม่เคยได้รับการเลือกปฏิบัติโดยตรงจากวัฒนธรรมต่างประเทศเป็นเวลานานแสนนาน พวกเราจำนวนมาก จึงยังเหมือนเป็นเด็กอยู่ เมื่อท่านสังเกตการต่อสู้ทางการเมืองของไทยท่านจะพบว่าเป็นเรื่องที่น่าสมเพชเป็นเหมือนเกมของเด็ก ๆ วิธีการที่เขาเล่นเกมการเมือง หรือเสี้ยมกันทางการเมืองในแบบนั้นเป็นเพราะในระบบอุปถัมภ์ท่านจะยังคงเป็นเหมือนเด็ก ท่านจะยังคงเป็นคนที่ต้องพึ่งพาอาศัยบุคคลอื่น

ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่ความน่าสมเพชนี้มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย ตัวอย่างล่าสุดที่ท่านเพิ่งพบก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอดีตพรรคไทยรักไทย ท่านทั้งหลายอาจได้อ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งมีปัญหากับชื่อของพรรคไทยรักไทยใหม่ ในขณะที่พรรคไทยรักไทยยังไม่ได้มีการจัดตั้งเป็นพรรคใหม่ที่ใช้ชื่อว่าพรรคพลังประชาชน หรือ พปช. มีการพยายามใช้เทคนิคการเปลี่ยนหรือแก้ชื่อเพื่อที่ว่าประชาชนจะได้รู้ว่านี่คือพรรคไทยรักไทย ดังนั้นพรรค จึงเปลี่ยนชื่อ และชื่อของพรรคก็ได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง หลังจากนั้นคณะกรรมการการเลือกตั้งก็พบว่าชื่อย่อของพรรคเป็นชื่อย่อของพรรคไทยรักไทย หรือ ทรท. คณะกรรมการเลือกตั้งก็เพิกถอนการให้ความเห็นชอบทันที

โดยบอกพวกเขาว่า เขาไม่สามารถใช้ชื่อย่อว่าเป็น ทรท. ได้อีก ฝันร้ายของผมก็กลับคืนมา หรืออาจกล่าวได้ว่าเรื่องน่าสมเพชแบบนี้เป็นอีกตัวอย่างของการที่เราพยายามเอาชนะกันในศตวรรษที่ 21 สมัยคุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ผมได้มีโอกาสทำงานกับท่านและก็ทำให้ผมชื่นชอบท่านเป็นการส่วนตัว คุณทักษิณเข้ามารับตำแหน่งและแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว คุณทักษิณได้ดึงอำนาจจากระบบอุปถัมภ์ จากอำนาจในรูปแบบที่เคยเป็นมาและได้เปลี่ยนให้กลายเป็นนโยบายสาธารณะที่สร้างประโยชน์ให้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ผมทำงานอยู่กับคุณทักษิณผมถึงทราบว่าสิ่งที่คุณทักษิณทำไม่ใช่แค่นโยบายในเชิงปรัชญา คุณทักษิณเพียงแต่ต้องการทำหน้าที่ของท่านเท่านั้น คุณทักษิณต้องการให้คนชอบ ต้องการให้คนรัก ต้องการเป็นมหาเศรษฐี ที่สร้างประโยชน์ให้กับสังคมและนั่นคือวิธีการที่คุณทักษิณคิดในเรื่องต่าง ๆ

แต่รูปแบบการทำงานแบบง่าย ๆ ของเขากลับไปขัดแย้งโดยตรงกับระบบอุปถัมภ์เพราะมันไปแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นระบบอุปถัมภ์ และเกิดขึ้นเร็วมาก แค่เพียงเวลา 5 ปีเท่านั้นประชาชนในระดับรากหญ้าเริ่มที่จะรู้สึกว่าพวกเขามีสิทธิ ประชาชนในระดับรากหญ้า มีสิทธิที่จะรู้สึกว่าพวกเราต้องการสิ่งที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างมากไม่ใช่แค่ดีขึ้นกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ชนชั้นรากหญ้าได้รับทางเลือกใหม่ และคุณทักษิณ ท้าทายคนทุกคน แต่บางคนก็พ่ายแพ้เพราะสิ่งที่เขาเป็น และสิ่งที่คุณทักษิณทำเมื่อทักษิณชนะการเลือกตั้งครั้งที่ 2

โดยได้คะแนนเสียง 377 ที่นั่งในสภาผู้แทนฯ ซึ่งมี 500 ที่นั่ง การได้เสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย ในโอกาสต่อไปผมคงจะได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังฉากและเป็นการเล่าอย่างไม่เป็นทางการสำหรับการสังเกตเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามความคิดของผมเอง ซึ่งผมต้องขอโทษที่ไม่สามารถพูดในที่นี้ได้ มีเหตุการณ์ที่ชี้ว่ามีบรรยากาศของการข่มขู่คุกคามเกิดขึ้นในทันทีที่ทักษิณชนะเลือกตั้งได้ สส. จำนวน 377 ที่นั่งจากจำนวน 500 ที่นั่ง หรืออีกนัยหนึ่งเกิดความรู้สึกของคนกลุ่มหนึ่งว่าไม่ควรไว้วางใจในตัวทักษิณ เพราะทักษิณละเมิดกฎที่ว่าด้วยการต้องพึ่งพาอาศัยคนอื่นๆ ทักษิณเริ่มต้นการเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้นำคนอื่น ๆ และนั่นเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายในระบบอุปถัมภ์ ทักษิณจะผิดหรือถูกคงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ที่จะตัดสิน

ท่านอาจจะลากตัวทักษิณมาขึ้นศาลหรืออาจจะให้เป็นศาลยุติธรรมของประเทศก็ได้ เรื่องนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือสิ่งที่มาพร้อมทักษิณ และทักษิณได้สร้างรอยไว้ในประเทศไทย เป็นสิ่งที่ประชาชน ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เขาแทบไม่เคยทำอะไรให้คนกรุงเทพเลย เพราะเขาคิดว่า คนกรุงเทพฯไม่ได้ต้องการเขาเท่าไหร่นัก

ถ้าคุณถามคนกรุงเทพว่าทักษิณทำอะไรให้เขาบ้าง คนกรุงเทพฯอาจต้องใช้เวลาถึง 2 อาทิตย์ที่จะคิดและคำตอบอาจจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ถ้าคุณไปถามคนชั้นรากหญ้า พวกเขาจะสามารถบอกคุณได้เป็น 10 เรื่องในสิ่งที่ เขาคิดว่าระบบใหม่ของทักษิณได้หยิบยื่นให้กับเขา แล้วทักษิณให้การอุปถัมภ์คนชั้นรากหญ้าหรือไม่ ในการทำเช่นนั้นก็อาจถือได้ว่าทักษิณเองก็ให้การอุปถัมภ์แก่คน ชั้นรากหญ้า

แต่เขาไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น และผมจะบอกท่านว่าจากการสังเกต ด้วยตัวผมเองว่าอะไรเป็นเหตุให้ทักษิณทำเช่นนั้น และมีนโยบายเช่นนั้น ท่านคงทราบว่าทักษิณได้วางแผนการณ์ไว้ว่าในช่วง 2 ปีสุดท้ายของรัฐบาลสมัยที่สองของเขา เขาจะใช้เวลาเพียงหนึ่งในสามในประเทศไทย และอีกสองในสามจะใช้เวลากับการเดินทางไปทั่วโลก

จากการวางแผนของเขา เขาตั้งใจจะทำหน้าที่ของ “เซลส์แมน” ของประเทศในช่วง 2 ปีสุดท้าย แต่เขาก็ถูกปลดจากภารกิจนั้นเสียก่อน เขาถูกกระทำรัฐประหารในระหว่างที่รอจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมใหญ่ขององค์การสหประชาชาติ ในทันทีที่เกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เราได้วางแผนการที่จะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น แต่แล้วก็มีโทรศัพท์จากเมืองไทยมาถึงและหลังจากนั้นก็ทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ตามความคิดเห็นของผมนั่นคือความผิดพลาด เราควรจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้น

เราควรจะดำเนินการต่อไปเพื่อให้ คมช. รัฐบาลของสุรยุทธ์ และพวกที่เหลือทั้งหมดถือเป็นพวกที่กระทำผิดกฎหมาย เราควรทำเพื่อให้พวกเขาขาดความชอบธรรมเหมือนรัฐบาลของเฮง สัมริน เมื่อหลายปีก่อน เราควรจะทำเช่นนั้น แต่โทรศัพท์จากกรุงเทพฯสายนั้นเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง แล้วเราจะสามารถทำอะไรได้ ผมเป็นแค่คน ตัวเล็ก ๆ ในภารกิจการเดินทางอันยิ่งใหญ่ ในเวลานั้นผมเป็น รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากับรองหัวหน้าผู้บริหารประจำทำเนียบขาวในระบบของสหรัฐฯ แต่ก็เป็นแค่ตำแหน่งเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถผลักดันอะไรได้

ผมอยากจะผลักดันให้มีการจัดตั้งรัฐบาลผลัดถิ่น และถ้าเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดการขัดแย้ง การต่อสู้อย่างรุนแรงในประเทศไทย ดังนั้นถ้าเราจะพูดกันในแง่มุมของประวัติศาสตร์ ว่าแม้แต่นายกรัฐมนตรีที่เข้าสู่อำนาจด้วยพลังของประชาชน เพราะสิ่งที่เขาทำเพื่อปลดปล่อยประชาชนจากระบบอุปถัมภ์ แต่ในเวลาที่สำคัญที่สุดที่ต้องตัดสินใจภายใต้วิกฤต เขากลับตัดสินใจจากมุมมองจากความคิดในระบบอุปถัมภ์ ดังนั้นระบบอุปถัมภ์ได้ฝังรากลึกมาก และเป็นการขัดแย้งทางอ้อมกับวิถีทางของประชาธิปไตย เราต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงปัญหานี้ เราต้องทำให้ระบบอุปถัมภ์กลายเป็นเรื่องของบุคคล

โดยการระบุไปเลยว่าใครยังคงให้การอุปถัมภ์ประชาชน และผมก็เชื่อว่าบัดนี้คือเวลาที่เราต้องทำเช่นนั้น ถ้าท่านเคยติดคุกแล้วสักครั้ง ทุกอย่างจะธรรมดามาก ท่านจะสามารถติดคุกได้อีกหลายครั้ง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายจริง ๆ นะครับ มันธรรมดามาก ตอนนี้ผมกำลังรออีกคดีหนึ่งที่ถูกกล่าวหาที่เรียกกันว่า “คดีดักฟัง” เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน

ในขณะที่ขึ้นเวทีประท้วงที่สนามหลวง ผมได้เปิดเผยเทปการสนทนาทางโทรศัพท์ของคน 3 คน สองในสามคนนั้นเป็นผู้พิพากษา คนหนึ่งอยู่ที่ศาลฎีกา และอีกคนอยู่ที่ศาลอุทธรณ์ คนหนึ่งนี้เป็นที่รู้กันทั่วไปว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ซึ่งมีการสันนิษฐานว่าเป็นไปในเชิงรักร่วมเพศกับผู้มีอำนาจ และสิ่งที่พวกเขาพูดกันก็คือจะหาทางบิดเบือนพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวเพื่อให้เกิดผลเสียต่อรัฐบาลของทักษิณและคณะกรรมการการเลือกตั้งที่คนกลุ่มนี้คิดว่าเข้าข้างรัฐบาลทักษิณได้อย่างไร และสิ่งที่ตามมาก็เป็นอย่างที่พวกท่านทั้งหลายทราบกันอยู่แล้ว

ถ้าท่านติดตามข่าวสารในประเทศไทย หรืออาจกล่าวได้ว่า[จากการเปิดเผยเทปในวันนั้น]พวกเขาถูกบังคับให้เผชิญความจริงว่าระบบอุปถัมภ์ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญของประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ดำเนินการกันอย่างไร ว่าพวกเขาให้การดูแลกันและกัน และใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างไร ว่าพวกเขาทำร้ายประชาชนด้วยการไม่ยอมรับมติเสียงข้างมากของประชาชนอย่างไร ว่าพวกเขาคิดว่าประชาธิปไตยต้องการการชี้นำอย่างไร กระนั้นก็ตาม เรื่องเทปดังกล่าวจะเป็นคดีที่ใหญ่มากจากนี้ไป ไม่ใช่เรื่องที่ตำรวจจะมาแจ้งข้อหากับผมและเพื่อนอีก 2-3 รายว่าลอบดักฟังโทรศัพท์ มันเป็นเทปที่มีการตั้งใจอัดเสียงไว้โดยบุคคลที่สามซึ่งอีกไม่นานเขาก็จะแสดงตัวออกมา ท่านนั้นเป็นปลัดของสำนักนายกรัฐมนตรี

ดังนั้น คดีนี้ก็จะถูกดำเนินคดีใน ชั้นศาลต่อไป เจตนาของผมในเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ว่าผมจะเห็นด้วยกับการ ดักฟังทางโทรศัพท์หรือไม่ แต่ผมต้องการนำคุณเปรม หรือพลเอกเปรม และผู้พิพากษาอีก 2 คนนั้นไปขึ้นศาลต่างหาก นั่นคือเจตนาของผม และเมื่อผมได้เผชิญหน้ากับคุณเปรมในศาลและจะได้ถามเขาว่าทำไมผู้นำที่ยิ่งใหญ่อย่างคุณเปรมถึงตัดสินใจลดระดับของประชาธิปไตยลงเช่นนี้ คุณเปรมเคยเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่เคยเป็น ฯพณฯ แต่บัดนี้ เขาได้เปลี่ยนไปแล้ว จากบุคคลที่เคยเป็นผู้นำที่เราจะขาดเสียไม่ได้ในอดีต

บัดนี้ได้กลายเป็นผู้นำในเวลาที่ผิดพลาดในประวัติศาสตร์ คุณเปรมเป็นสัญลักษณ์ของหลาย ๆ อย่าง เราได้เรียนรู้จากคุณเปรมว่า เมื่อคนที่ดีแก่ตัวลงมาก ๆ และผมไม่ได้หมายถึงอายุ แต่เป็นสภาวะของความรู้สึกว่าตัวเองแก่ ในสภาวะของจิตใจที่จะไม่ผจญภัยอีกต่อไป แต่ถอยกลับคืนเข้าสู่อดีต กลับสู่วันคืนอันดีงามในอดีตที่คุณเปรมรู้สึกคุ้นเคย ซึ่งสภาวะเช่นนั้นไม่ได้เหมาะสมกับประเทศไทยอีกต่อไป

ดังนั้นผมขอโทษที่ผมใช้เวลาไปค่อนข้างมาก แต่ผมแค่อยากจะบอกว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมได้ค้นพบทั้งในคุกและนอกคุกว่าประชาธิปไตยขัดแย้งกับระบบอุปถัมภ์อย่างสิ้นเชิง และการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ก็จะไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย สถานการณ์หลังการเลือกตั้งจะยิ่งแย่ลงไปอีกเพราะจะมีการใช้แทคติกและการดำเนินการในเบื้องหลังต่าง ๆ อย่างมากมาย และจะมีการเปิดเผยเจตนาที่แท้จริงออกมาในเมื่อคุณไม่สามารถอนุญาตให้มีประชาธิปไตยได้ในประเทศนี้

เมื่อท่านไปที่สนามหลวงท่านจะได้ความรู้สึกเดียวกับที่ผมมีว่าประชาชนคนไทยไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว พวกเขาเป็นผู้ใหญ่ที่ถูกบังคับให้เป็นเด็กและ อยู่ภายใต้กรอบของขนบธรรมเนียม พวกเขาสับสนทั้งทางกายและทางความคิด และกำลังพยายามที่จะออกจากกรอบนั้น ผมไม่รู้ว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร แต่มันจะต้องมีผลลัพธ์ออกมา


ดังนั้นผมขอจบการนำเสนอของผมเพียงแค่นี้ ผมหวังว่าความคิดเห็นของผมจะทำให้เกิดคำถาม และการวิพากษ์วิจารณ์ที่ติดตามมา ผมต้องการฟังความเห็นและคำถามของท่านทั้งหลายมาก ผมอยากรู้ว่าพวกท่านคิดอย่างไรกับประเทศไทย เพราะหลาย ๆ ท่านในที่นี้ก็ได้อยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน หลาย ๆ ท่านเป็นผู้ที่รักประเทศไทยอย่างแท้จริง และผมไม่อยากทำร้ายความรู้สึกเช่นนั้น ดังนั้นผมจึงอยากที่จะทราบว่าท่านคิดจริง ๆ อย่างไร ณ เวลานี้

ขอบคุณครับ