ที่มา ไทยรัฐ
ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก็เป็นอันเรียบร้อย เมื่อมีการ ลงมติและปรากฏว่านายกฯ และ 5 รัฐมนตรีสอบผ่าน เพียงแต่ว่ามีคะแนนไม่ไว้วางใจและไว้วางใจต่างกันเท่านั้น พูดง่ายๆ ว่ามีคนในรัฐบาลลงคะแนนไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีบางคนด้วยขณะที่ฝ่ายค้านลงคะแนนให้รัฐบาลก็มี
คือมีทั้ง “แหกโผ” และ “งูเห่า” ผสมผสานกัน
คะแนนที่น่าสนใจก็คือนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศที่ได้คะแนนไว้วางใจน้อยที่สุดคือ 237 เสียง คะแนนไม่ไว้วางใจ 184 เสียง เพราะมาตรฐานไว้วางใจของทุกคนมีคะแนนอยู่ที่ 246 เสียง นั่นแสดงว่ามีคนของรัฐบาลส่วนหนึ่งคงไม่นิยมชมชอบจึงไปลงคะแนนร่วมกับฝ่ายค้าน
ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นที่รู้กันอยู่ล่วงหน้า เพียงแต่ว่าการลงคะแนนเป็นแบบลับ ไม่ใช่ยกมือเป็นรายบุคคลอย่างที่เคยปฏิบัติกันมา
ก็ต้องไปจับมือดมกันเองก็แล้วกันว่าเป็นใครกันบ้าง แม้ว่าการตอบชี้แจงของนายกษิตนั้นถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งคงจะเป็นเพราะการที่นายกษิตไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯคือประเด็นสำคัญ ไม่ได้เกี่ยวกับการบริหารงานที่ผิดพลาดแต่อย่างใด
ขณะที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ได้คะแนนไว้วางใจ 246 เสียง แต่ ปรากฏว่าคะแนนไม่ไว้วางใจแค่ 176 เสียงเท่านั้น หรือนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ คะแนนไว้วางใจ 246 เสียง และไม่ไว้วางใจ 168 เสียง นั่นก็แสดงว่ามี ส.ส.พรรคเพื่อไทยร่วมขบวนการไม่ไว้วางใจลดลง
แม้จะไม่ยกมือสวนแต่ก็แสดงออกด้วยการ “งดออกเสียง” ซึ่งก็คงไม่ต้องแปลกเพราะในพรรคเพื่อไทยนั้น มี ส.ส.ส่วนหนึ่งที่ตัวอยู่ เพื่อไทยแต่ใจไปอยู่ภูมิใจไทยเสียแล้ว
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเสร็จสิ้นไปแล้ว และนายกฯยืนยันว่าจะไม่มีการปรับ ครม. เพราะรัฐมนตรีทุกคนสอบผ่านหมด เพียงแต่ได้คะแนนต่างกันเท่านั้น แต่ก็ยังมีประเด็นที่จะต้องต่อความยาวสาวความยืดกันต่อไป
ประเด็นก็น่าจะมีอยู่คือเรื่องเงินบริจาค 263 ล้านบาทที่เกี่ยวข้อง กับคนของประชาธิปัตย์และพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง หัวหน้าทีมฝ่ายค้านที่ออกมาแฉแสดงตัวเลข เส้นทางเงิน และเช็คสั่งจ่าย
ซึ่งกรณีนี้ดูเหมือนว่าการชี้แจงของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และนายนิพนธ์ บุญญามณี ก็ไม่ชัดเจน เพียงแต่ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นเรื่องของธุรกิจ
หรือเรื่องการนำเงินที่ กกต.มอบให้ 29 ล้านไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
แม้ว่าในการอภิปรายในสภาไม่สามารถเล่นงานพรรคประชาธิปัตย์ได้ แต่ดูเหมือนว่าฝ่ายค้านจะปฏิบัติการ “หลังซักฟอก” นั่นคือ จะยื่นเรื่อง ให้ กกต.สอบสวนต่อไป ทั้งนี้ เรื่องเงิน 263 ล้านนั้น ปรากฏว่าดีเอสไอ ได้ยื่นเรื่องให้ กกต.สอบสวนล่วงหน้าไปแล้วก็ตาม
ก็คงต้องรอว่า กกต.จะสอบสวนและมีผลออกมาอย่างไร มีพฤติกรรม ดังที่ ร.ต.อ.เฉลิมนำมาแฉหรือไม่ หากปรากฏพบความผิดจริง
ประชาธิปัตย์พรรคเก่าแก่ที่สุดก็มีสิทธิจะถูก “ยุบพรรค” ได้ ซึ่งคงอีกไม่นานก็จะรู้กันว่าจะออกหัวออกก้อยอย่างใด
ประเด็นนี้ประชาธิปัตย์หวั่นไหวกันทั้งพรรค
เหนืออื่นใดเมื่อการเมืองในสภาในระบบ ฝ่ายค้านไม่สามารถเล่นงานรัฐบาลให้อยู่หมัดได้ แต่ก็ใช่ว่าจะบริหารต่อไปได้อย่างสงบ เพราะจะต้องเจอศึก “นอกสภา” ที่กลุ่มเสื้อแดงประกาศล่วงหน้าแล้วว่าจะมีการชุมนุมใหญ่วันที่ 26 มี.ค. โดยจะล้อมทำเนียบและแสดงเจตนาว่า “ไม่ชนะไม่เลิก” ขณะที่เสียงโฟนอินก็คงจะถี่ขึ้นเพื่อปลุกเร้าให้ผู้สนับสนุนเดินหน้าขยี้มันด้วยความรุนแรง กดดัน ก่อความวุ่นวายมากขึ้น
ว่ากันว่าจะบรรเลงด้วยเพลงดาบ “ดิบ ถ่อย เถื่อน” ขนาดนั้น เลยทีเดียว.
“สายล่อฟ้า”