ที่มา ประชาไท
23 ธ.ค. 2553 - คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) ออกคำแถลงว่าด้วยเรื่องการยกเลิกการบังคับใช้ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พรก. ฉุกเฉิน) โดยระบุว่า ครส. ยินดีที่ทางคณะรัฐมนตรียกเลิกการบังคับใช้ พรก. เป็นเหตุให้ศูนย์อำนวยการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยุติบทบาทลง
แต่ขณะเดียวกันการที่รัฐบาลหันมาบังคับใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แทนนั้น อาจยังส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่รับรองโดยรัฐธรรมนูญของประเทศไทยและพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยมีอยู่
จากคำแถลงของ ครส. ยังระบุอีกว่า กฏหมาย 3 ฉบับคือ พรบ. ความมั่นคงฯ, พรบ.กฏอัยการศึก และ พรก. ฉุกเฉิน นั้นล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เปิดช่องให้มีการใช้อำนาจโดยมิชอบธรรม และล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง และกว้างขวาง มิได้นำมาสู่ความสงบสุขของสังคมอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลในทางที่ผิดสามารถหลุดรอดจากกระบวนการยุติธรรมได้ อำนาจตามกฎหมายดังกล่าวยังขัดต่อหลักการและพันธกรณีตามกติกา-อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน รัฐจึงต้องใช้สติในการพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบและใช้ตามความจำเป็นจริงๆเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเท่านั้น
"หนทางที่ดี และเหมาะสมที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการใช้กฎหมายความมั่นคงทั้งสามฉบับนี้ และเร่งดำเนินเพื่อการบังคับใช้กฎหมายอาญาอย่างมีประสิทธิภาพ ทบทวนกฎหมายที่ล้าหลังและขัดต่อหลักยุติธรรม สิทธิมนุษยชน และรัฐธรรมนูญ ยกร่างกฎหมายที่ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน" ครส. เสนอ
รายละเอียดของแถลงการณ์มีดังต่อไปนี้
คำแถลง ว่าด้วยการยกเลิกการบังคับใช้ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) ยินดีที่ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 ได้มีมติยกเลิกการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล ที่มีผลให้ศูนย์อำนวยการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยุติบทบาทการปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม เป็นต้นไป โดยจะมีการนำ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มาบังคับใช้แทน ซึ่งมาตรการที่รัฐบาลอาจจะประกาศใช้ตามกฎหมายดังกล่าวยังอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนหากขาดการกำกับดูแลและการตรวจสอบการใช้อำนาจให้เคร่งครัด โดยต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่รับรองโดยรัฐธรรมนูญของประเทศไทยและพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยมีอยู่เป็นสำคัญ
ก่อน หน้านี้ ครส. และเครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ ได้แนะนำรัฐบาลมาโดยตลอดว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่มีความจำเป็นเนื่องจากส่งผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ การเมือง อย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ และภาพพจน์ของประเทศเป็นอย่างยิ่ง ว่ายังขาดเสถียรภาพทางการเมือง และด้อยพัฒนาในการจัดการกับปัญหาความขัดแย้ง จนก่อให้เกิดเหตุรุนแรงมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ครอบคลุมหลายรัฐบาล หลายยุคสมัย นับแต่ก่อนเหตุการณ์การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
หลังจากการยกเลิกการใช้ พระราชกำหนดแล้ว รัฐบาลคงจะหันมาใช้มาตรการตามพระราชบัญญัติความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 แทน ตามที่ได้ประกาศไว้ จึงขอให้รัฐบาลพึงตระหนักว่ากฎหมายความมั่นคงทั้งสามฉบับ อันได้แก่ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 พระราชบัญญัติความมั่นคงในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 และ พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เปิดช่องให้มีการใช้อำนาจโดยมิชอบธรรม และล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง และกว้างขวาง มิได้นำมาสู่ความสงบสุขของสังคมอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลในทางที่ผิดสามารถหลุดรอดจากกระบวนการยุติธรรมได้ อำนาจตามกฎหมายดังกล่าวยังขัดต่อหลักการและพันธกรณีตามกติกา-อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน รัฐจึงต้องใช้สติในการพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบและใช้ตามความจำเป็นจริงๆเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเท่านั้น โดยเมื่อประกาศใช้มาตรการตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว ระมัดระวังในการใช้และมีการตรวจสอบการใช้อย่างเคร่งครัด
หนทางที่ดี และเหมาะสมที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการใช้กฎหมายความมั่นคงทั้งสามฉบับนี้ และเร่งดำเนินเพื่อการบังคับใช้กฎหมายอาญาอย่างมีประสิทธิภาพ ทบทวนกฎหมายที่ล้าหลังและขัดต่อหลักยุติธรรม สิทธิมนุษยชน และรัฐธรรมนูญ ยกร่างกฎหมายที่ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และภารกิจของนักสิทธิมนุษยชนคือการมีส่วนร่วมในการปฏิรูประบบยุติธรรมในทุกมิติ ทุกภาคส่วนร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ บุคคลากรในสายงานยุติธรรม ซึ่งถึงที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่รัฐจะต้องมีบทบาทอย่างยิ่งในการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพให้เป็นกฎเกณฑ์หลักของสังคม มิใช่ปล่อยให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายกลับกลายมาเป็นผู้ก่อปัญหา และราดน้ำมันเข้าใส่กองไฟเสียเอง
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ประเทศไทย ประชาชนคนไทย จะผ่านช่วงเวลาแห่งความสับสน และยากลำบากนี้ไปได้ในไม่ช้า สิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตย เป็นทั้งหลักการ วิธีการ และเป้าหมายแห่งการพัฒนาสังคม ที่ให้ความเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และเอื้อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งมวลในสังคม
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.)
เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
22 ธันวาคม 2553 กรุงเทพมหานคร