WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, December 21, 2010

มายาคติเรื่องทฤษฎีชนชั้นกลาง

ที่มา มติชน



โดย น.ส.ณัชชาภัทร อุ่นตรงจิตร อาจารย์ประจำวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า



ตอนหนึ่งของบทความ "พื้นที่การเมืองที่ปิดไม่ลง" ของ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ในหนังสือพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 29 พฤศจิกายน 2533 ว่า

"นโยบาย พัฒนาที่ธนาคารโลกนำมาสู่ประเทศไทย ภายใต้เผด็จการ สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และทายาท ได้สร้างคนชั้นกลางรุ่นใหม่ขึ้นในสังคมไทย คนเหล่านี้ไม่อาจทนอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหารที่กีดกันพวกตนออกไปจากการมี ส่วนร่วมทางการเมืองได้ จึงร่วมมือกับชนชั้นนำตามจารีต, ทุน และกลุ่มทหารที่ไม่พอใจการเมืองภายในกองทัพขับไล่ผู้นำเผด็จการทหารออกไปใน การปฏิวัติ 14 ตุลา"

เนื้อหาในบทความเป็นการวิเคราะห์การต่อสู้ ทางการเมือง และพื้นที่ทางการเมืองของชนชั้นกลางตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 โดยเนื้อหาของบทความเป็นการวิเคราะห์ว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงด้านสังคม วัฒนธรรมและเทคโนโลยี ทำให้ชนชั้นกลางใหม่ในปัจจุบันนั้น ไม่อาจจะถูกปิดพื้นที่ทางการเมืองเช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ได้ และสิ่งนี้จะนำมาซึ่งความตึงเครียดทางการเมืองในที่สุด

ผู้เขียนเห็นด้วยกับบทวิเคราะห์ในบทความนี้ แต่ผู้เขียนสงสัยในความเข้าใจเบื้องต้นของบทความนี้ว่า ได้ให้ความหมายและคุณค่ากับ "ชนชั้นกลาง" มากเกินไปหรือไม่ มิพักกับการสงสัยว่า "ชนชั้นกลาง" นี้มีจริงหรือเปล่า

นอกจากนี้ การอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อาทิ เหตุการณ์ปฏิวัติ 14 ตุลา ด้วยบทบาทของชนชั้นกลางนี้มีจุดที่ชวนสงสัยอยู่มาก

ข้อ สรุปของบทความนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ ด้วยเป็นการวิเคราะห์ผลกระทบทางการเมืองที่เกิดจากชนชั้นกลาง ซึ่ง ศ.ดร.นิธิได้เขียนงานเกี่ยวกับ "ชนชั้นกลาง" ขึ้นมาหลายชิ้น หนังสือที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งของท่านในทศวรรษที่แล้วคือ ปากไก่และใบเรือ ก็เขียนถึงชนชั้นกลางในสมัยต้นรัตนโกสินทร์

แม้ว่าท่านจะเขียนบทความเกี่ยวกับชนชั้นกลางไว้หลายชิ้น แต่ ศ.ดร.นิธิก็ไม่ได้ระบุว่าใครกันแน่ที่เป็น "ชนชั้นกลาง" โดยท่านเองได้กล่าวโดยนัยว่า ตำแหน่งแห่งที่ของความเป็น "ชนชั้นกลาง" นั้น "เลื่อนไหล" เพราะวันหนึ่งคนคนหนึ่งที่เคยเป็นชนชั้นกลาง อาจจะเป็นคนชั้นล่าง และคนที่เคยเป็นชนชั้นล่าง อาจจะถีบตัวมาเป็นชนชั้นกลาง ตัวแปรสำคัญหนึ่งที่ชี้วัดความเป็นชนชั้นกลางคือ "รายได้"

โดยบทความฉบับนั้นกล่าวว่า "นี่คือคนชั้นกลางรุ่นใหม่ (กว่า) ซึ่งพื้นที่ทางการเมืองภายใต้กำกับยังไม่ได้ผนวกเข้าไป จากการสำรวจของอาจารย์อภิชาต สถิตนิรามัย พบว่าคนเสื้อแดงแถบนครปฐมมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวถึงกว่า 5,000 บาทต่อเดือน ห่างไกลสุดกู่จากเส้นความยากจนของสภาพัฒน์"

แสดงว่า ศ.ดร.นิธิวัดความเป็นชนชั้นกลางจากระดับรายได้ด้วยส่วนหนึ่ง

กลับมาที่บทบาทของชนชั้นกลางกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอีกที

นอกจากจะไม่สามารถกำหนดได้อย่าง "ตายตัว" ใครเป็นชนชั้นกลางแล้ว ยังมีความน่าสงสัยเกี่ยวกับเรื่องบทบาทของชนชั้นกลางกับการเปลี่ยนแปลงทาง การเมืองอีก จึงได้เกิดคำถามสำหรับข้อสมมติฐานดังกล่าวว่า

"ชนชั้นกลางทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจริงหรือไม่"

เพราะเมื่อวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดในการปฏิวัติ 14 ตุลา จากงานศึกษา "และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ" ของ ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ แล้ว กลับพบว่าผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติ 14 ตุลา เพื่อสลัดต่อการครอบงำของเผด็จการอำนาจนิยมคือ ความร่วมมือระหว่าง "ชนชั้นนำตามจารีต" และ "นักศึกษา" ซึ่งเป็นอนุรักษนิยมสุดขั้วกับเสรีนิยมสุดเดช ซึ่งส่วนผสมของอนุรักษนิยมกับเสรีนิยม จะกลายเป็นชนชั้นกลางได้อย่างไร

คำอธิบายที่มักกล่าวถึง "ชนชั้นกลางกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเหตุการณ์ปฏิวัติ 14 ตุลา" อยู่ในทำนองที่ว่า เพราะในสมัยจอมพลสฤษดิ์นั้นมีการพัฒนาเศรษฐกิจ เกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้เกิดความต้องการแรงงานมีฝีมือ จึงได้เกิดมหาวิทยาลัยขึ้น และมหาวิทยาลัยเป็นตัวผลิตนักศึกษา

ดังนั้น นักศึกษา (ซึ่งจะกลายเป็นชนชั้นกลางต่อไป) จึงเกิดความไม่พอใจกับระบอบเผด็จการทหาร ฯลฯ

คำอธิบายดังกล่าวเป็นคำอธิบายที่โยงไปโยงมาชนิดที่พอจะทำให้ "การพัฒนาเศรษฐกิจ" กับ "การปฏิวัติ 14 ตุลา" มาเกี่ยวข้องกันได้ แต่หากจะพยายามหาชนชั้นกลางที่เกิดจากระบอบสฤษดิ์นั้น ไม่น่าจะใช่นักศึกษา แต่น่าจะเป็นพ่อค้าระดับเอสเอ็มอี และข้าราชการระดับกลางเช่นเหล่า "อาจารย์มหาวิทยาลัย" เพราะเนื่องจากในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 ได้มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยหัวเมืองขึ้นมากมาย (เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น)

อาจารย์ในมหาวิทยาลัยเหล่านี้เป็นชนชั้น ใหม่ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยจริงๆ มีรายได้ มีรสนิยม มีความเป็นตัวของตัวเอง (ซึ่งน่าจะเข้าคอนเซ็ปท์ความเป็น "ชนชั้นกลาง" ของ ศ.ดร.นิธิมากกว่านักศึกษา)

แต่ เมื่อมาโยงถึงบทบาทในการปฏิวัติ 14 ตุลา นั้นพบว่า บทบาทหลักในเหตุการณ์ปฏิวัติ 14 ตุลา นั้น เป็นบทบาทที่มาจากความคิดอันเป็นอิสระและเป็นตัวของตัวเองของนักศึกษาในการ ขับไล่เผด็จการอำนาจนิยม

มาถึงจุดนี้จึงน่าคิดว่า ได้มีการนำทฤษฎีชนชั้นกลางมาอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการเมืองไทย แบบน่าสงสัย มายาคติเรื่องนี้ได้ถูกส่งต่อมาที่การชุมนุมในช่วงพฤษภาทมิฬ อันมีสถิติที่อ้างต่อกันมาจากแหล่งเดียวกันว่าผู้ชุมนุมขับไล่นายกรัฐมนตรี ในครั้งนั้นมีโทรศัพท์มือถือใช้ มีการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป มีระดับรายได้ค่อนข้างมาก

แต่ในช่วงปี พ.ศ.2535 นั้น โทรศัพท์มือถือยังไม่ได้มีใช้กันแพร่หลาย ผู้ที่มีโทรศัพท์มือถือใช้ น่าจะเป็นชนชั้นนำหรือกลุ่มคนประเภทนายทุน-เจ้าสัว มากกว่าชนชั้นกลาง ใช่หรือไม่

ชนชั้นกลางนั้นจริงๆ แล้วมีบทบาทในการปฏิวัติ 14 ตุลา หรือไม่เป็นเรื่องที่น่าสงสัย เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว ชนชั้นกลางเป็นชนชั้นที่ไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด พวกเขาเป็นชนชั้นที่ต้องการสถานภาพเดิม (Status quo) เหนือกว่าใคร เพราะชนชั้นกลางไม่เหมือนชนชั้นล่างที่ "ไม่มีอะไรจะเสีย" และไม่เหมือนชนชั้นนำที่ "ต้องการจะเสี่ยงเพื่อการเปลี่ยนแปลง" ชนชั้นกลางเป็นผู้ต้องการเสถียรภาพให้กับระบอบ มากกว่าจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงระบอบ

การอยู่รอดของชนชั้นกลางอยู่ที่การ "อยู่ได้นานก็สนุกได้นาน" พวกเขาต้องการให้คงสภาพสังคมเช่นเดิม ที่มีคนอยู่ข้างใต้จำนวนหนึ่ง เพียงพอที่จะให้พวกเขาเก็บเกี่ยวส่วนเกินต่อไปวันๆ โดยนัยยะนี้ ชนชั้นกลางจึงเป็นพวกอนุรักษนิยมที่สุด และไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด

การเปลี่ยนผ่านไปสู่ ระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เน้นที่การสร้างชนชั้นกลาง เพราะชนชั้นกลางไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง การปฏิวัติ (ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันไม่ใช่การปฏิรูป) ครั้งใดๆ ในโลกก็ไม่ได้เกิดเพราะชนชั้นกลางแต่เกิดเพราะชนชั้นนำ หรือการร่วมมือระหว่างชนชั้นนำกับชนชั้นล่าง หากมีการเปลี่ยนแปลง ชนชั้นกลางต้องการให้ค่อยๆ เกิดขึ้น เพราะเขาต้องการเวลาปรับตัว

มายาคติเรื่อง "ชนชั้นกลางกับระบอบประชาธิปไตย" จึงเป็นเรื่องที่น่าทบทวน เพราะจากประวัติศาสตร์และลักษณะของชนชั้นกลางแล้วเป็นไปได้ยากที่ชนชั้นกลาง จะมารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ในลักษณะการปฏิรูป

ชนชั้นกลางไม่ได้รักระบอบใดระบอบหนึ่ง (รวมทั้งระบอบประชาธิปไตยด้วย) แต่พวกเขาต้องการสร้างเสถียรภาพให้กับระบอบเพื่อให้ตนเองคงสถานภาพ "กลางๆ" เช่นนั้นต่อไป

ไม่ว่าระบอบนั้นจะเป็นประชาธิปไตยหรือ "ไม่" ก็ตาม