ที่มา บางกอกทูเดย์
8 เดือน ศอฉ.ใช้งบเท่าไร?
เลิก พ.ร.ก.ใช้ พ.ร.บ.ก็ครือกัน
แม้ ว่ารัฐบาลจะยังคงมีการใช้ พรก.ฉุกเฉิน อยู่ เนื่องจากเมื่อวันอังคารที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา ไม่ได้มีการเสนอเรื่องการยกเลิก พรก.ฉุกเฉินเข้า ครม. ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เอ่ยปาก
แต่เลื่อนมาเป็นว่า น่าจะมีการเสนอเข้า ครม. ในวันพรุ่งนี้ ( 21 ธ.ค.)
แต่การมี พรก.ฉุกเฉิน หรือไม่มี... ดูเหมือนว่าไม่สามารถที่จะทำให้ความมุ่งมั่นตั้งใจของกลุ่มคนเสื้อแดง เปลี่ยนแปลงไปได้
เพราะ จากที่เคยประกาศเอาไว้ว่าในวันที่ 19 ธันวาคม จะมีการชุมนุมที่บริเวณแยกราชประสงค์ เนื่องในวาระครบรอบ 7 เดือน เหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม
ปรากฏว่าก็ยังคงมีการ ชุมนุมจริงๆ เพียงแต่เป็นการชุมนุมที่นอกจากจะสะท้อนจุดยืนที่หนักแน่นแล้ว ยังเป็นการชุมนุมที่มีพัฒนาการจากบทเรียนที่เจ็บปวดมากขึ้น
เพราะ พรก.ฉุกเฉิน จริงๆแล้วไม่ได้น่ากลัวเท่ากับ 2 มาตรฐาน!!!
การ ชุมนุมรอบนี้ ผู้ชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงทยอยเดินทางมาตั้งแต่ช่วงเช้า โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 กองร้อย มาดูแลความเรียบร้อยโดยรอบพื้นที่ มีการนำแผงเหล็กมาวางกั้นทั้งสองฝั่งถนนราชประสงค์ ตั้งแต่บริเวณหน้าอมรินทร์พลาซ่าจนแยกราชประสงค์
อีกฝั่งตั้งแต่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัลถึงห้างเกษรพลาซ่า
ส่วน ด้านหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ตำรวจนำแผงเหล็กมากั้นถนน 1 ช่องทางการจราจร ขณะที่พ่อค้าแม่ค้าต่างนำสินค้าของกลุ่มคนเสื้อแดงมาจำหน่ายกันคึกคัก และมีการพับนกกระดาษสีแดงร้อยด้วยเชือกผูกโยงไว้ที่บริเวณด้านหน้าห้างเกษรพ ลาซ่า
เวลา 13.45 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ นับหมื่นคนจนล้นทะลักลงมาบนถนนราชประสงค์ เจ้าหน้าที่จึงตัดสินใจปิดการจราจรด้านหน้าเกษรพลาซ่า
ซึ่ง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) กล่าวว่า จริงๆแล้วได้ตกลงกับแกนนำเสื้อแดงแล้วว่าไม่ให้ปิดการจราจร แต่มีผู้ชุมนุมจำนวนมาก จึงอนุโลมให้ปิดถนนราชประสงค์ด้านหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ แต่จะไม่ให้ปิดแยกราชประสงค์
เวลา 15.00 น. ผู้ชุมนุมดันแผงเหล็กด้านหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ เกิดความวุ่นวายราว 5 นาที จากนั้นผู้ชุมนุมได้ลงมาที่แยกราชประสงค์จนเต็มพื้นที่ ทำให้ต้องปิดการจราจรไปจนถึงแยกเฉลิมเผ่า แยกประตูน้ำ แยกชิดลม และแยกสาร ขณะที่ห้างร้านโดยรอบแยกราชประสงค์ เช่น เกษรพลาซ่า ศูนย์การค้าเอราวัณ ยังเปิดให้บริการตามปกติ
ในขณะที่ช่วงบ่ายโมง นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บ.ก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ได้จัดกิจกรรมวันอาทิตย์สีแดง ที่ร้านแมคโดนัลด์ สาขาราชประสงค์ มีประชาชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
โดยนายสมบัติกล่าวว่า มีข้อเสนอ 2 ประการคือ
1.ให้ รัฐบาลแสดงออกถึงบรรยากาศการสร้างความปรองดอง เพื่อลดทอนความคับข้องใจ รัฐบาลต้องส่งสัญญาณปล่อยตัวนักโทษการเมืองที่ไม่ใช่แค่แกนนำ 8 คน โดยสนับสนุนการประกันตัว
2.ฝ่ายประชาชนขอยืนยันในการพิสูจน์ข้อเท็จ จริงในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม รัฐบาลเป็นผู้มีส่วนร่วมก่ออาชญากรรมขอให้ดำเนินการเปิดเผยข้อมูลต่อคณะ กรรมการชุดนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน
“วันนี้ใช้นกพิราบสีแดงสื่อความหมายในการปล่อยตัวนักโทษการเมืองและปลดปล่อยประชาชน พร้อมปล่อยลูกโป่ง 5,000 ลูก” นายสมบัติกล่าว
รวมทั้งระบุว่า ขอสนับสนุนแนวทางของนางธิดา และขอยืนยันว่าแม้จะวิจารณ์ นปช. แต่ก็ไม่ได้มีความขัดแย้งกับ นปช.
ท่า ทีและการเดินกิจกรรมสไตล์นายสมบัติ หรือ บก.ลายจุด เช่นนี้แหละที่ทำให้ พรก.ฉุกเฉินฯของรัฐบาล กลายเป็นแค่คำขู่ที่หมดฤทธิ์ เนื่องจากนายสมบัติสามารถแสดงจุดยืนและข้อเรียกร้องได้ รวมทั้งสามารถทำให้มีประชาชนเข้ามาร่วมชุมนุมได้เป็นจำนวนมาก
เมื่อนายสมบัติไม่ได้ใช้ความรุนแรง พรก.ฉุกเฉินฯ หรือแม้แต่กระทั่ง 2 มาตรฐาน ก็ไม่สามารถที่จะหาข้ออ้างอะไรมาเอาเรื่องได้
ดัง นั้นจึงไม่แปลกที่นับตั้งแต่ บก.ลายจุด มาใช้ความสงบ ปราศจากความรุนแรง ออกมาทวงถามความยุติธรรม นายอภิสิทธิ์ ก็มองเห็นมากขึ้นเรื่อยๆว่า พรก.ฉุกเฉินฯ คงต้องถึงเวลาสิ้นสภาพในไม่ช้า
ที่ยังยืดเยื้อมาจนวันนี้ ก็เป็นเพราะ ทหาร ศอฉ. และกลุ่มขั้วอำนาจพิเศษ ยังมีความหวาดระแวงอยู่
ซึ่งแม้ว่านายอภิสิทธิ์ จะเปรยๆให้ทบทวนหลายครั้ง รวมทั้งหลังสุดระบุให้มีการพิจารณาและนำเข้าสู่ ครม. แต่ก็ยังคงถูกดึงเกมอยู่
เพียง แต่ว่าเมื่อกลุ่มเสื้อแดง และ บก.ลายจุด มีการใช้บทเรียนพฤษภาอำมะหิตให้เป็นประโยชน์ ในขณะที่นายอภิสิทธิ์เองก็คาดคั้นมากขึ้น จึงเชื่อว่า พรก.ฉุกเฉินไม่น่ารอดแน่ในรอบนี้
ซึ่งนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลจะประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในการประชุมครม. วันที่ 21 ธ.ค. นี้ ว่า ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ว่าควรจะต้องยกเลิกกฎหมายพิเศษที่จำกัดสิทธิ ประชาชน
แต่การที่รัฐบาลจะบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักรแทนนั้น เห็นว่าเป็นการไม่เหมาะสม เพราะเปรียบเสมือนแปลงร่างหน่วยงานศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แบบสีเขียวเข้มลงมาซ่อนรูปเป็นเขียวลายพราง
คือหันมาใช้ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยแทน
โดย ใช้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. เป็นหน่วยงานหลักในการรักษาความสงบเรียบร้อย ก็ถือเป็นบุคคลในหน่วยงานด้านความมั่นคงกลุ่มเดิมมาเป็นเครื่องมือค้ำอำนาจ ให้กับรัฐบาลต่อไป
“ขณะนี้ก็เห็นว่าไม่ปรากฏสถานการณ์ใดๆที่กระทบต่อ ความมั่นคง จึงเห็นว่ารัฐบาลควรประกาศยกเลิกกฎหมายพิเศษทั้งหมด โดยหันมาใช้กฎหมายปกติ และใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้รักษาความสงบแทน ควรให้ประชาชนได้มีโอกาสใช้สิทธิเสรีภาพตามปกติ”
อย่างไรก็ตามจุดที่ น่าสนใจ คือ การเรียกร้องขอให้รัฐบาลได้เปิดเผยการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินในระหว่าง ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย. 53 จนถึงวันประกาศยกเลิก 8 เดือนเศษ ว่าใช้งบประมาณไปเป็นจำนวนเท่าใด
โดยขอให้มีการประกาศให้ประชาชนได้รับทราบอย่างโปร่งใส และให้พรรคเพื่อไทยสามารถดำเนินการตรวจสอบได้
เหตุผล ก็คือ เพราะก่อนหน้านี้ มีข้อครหาเรื่องความไม่โปรงใสในการใช้งบประมาณว่าเคลียกันไม่ลงตัว มีข่าวจะยกเลิก พรก. เมื่อ 14 ธ.ค. 53 สุดท้ายก็เลื่อนมาขอยกเลิก ในวันที่ 21 ธ.ค. เพื่อที่จะได้มีเวลาเคลียงบฉุกเฉิน เพราะกลัวถูกตรวจสอบ
“ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่???”นายพร้อมพงศ์ตั้งคำถาม
พร้อม กับตั้งข้อสังเกตุเอาไว้ด้วยว่า หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผู้นำรัฐบาลไม่จริงใจดำเนินการ ก็ต้องถือว่ารัฐบาลไม่สุจริตใจ ในการใช้งบประมาณ ซึ่งมาจากภาษีประชาชน
และทางคณะทำงานที่ติดตาม เรื่องการใช้งบ พรก. ฉุกเฉิน ของพรรคเพื่อไทย จะยื่นขอให้ตรวจสอบโดยผ่าน ประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร และ ประธานคณะกรรมาธิการการเงินการคลัง และการธนาคาร สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ตรวจสอบเงินภาษีประชาชน
ว่าใช้ในการรักษาอำนาจให้กับรัฐบาลชุดนี้เป็นจำนวนเท่าไร ถูกต้องและโปร่งใสหรือไม่???
งานนี้ พรก.ฉุกเฉินฯ ดูแล้วฝืนใช้ต่อไปคงยาก น่าจะไม่รอดวันพรุ่งนี้แน่
แต่ยังไม่รู้ว่า การอุตส่าห์เลิกใช้ พรก.ฉุกเฉินฯ จะช่วยต่ออายุให้ รัฐบาล ได้นานแค่ไหน!!!