ที่มา ข่าวสด
ผ่านไปเพียงแค่ 2 สัปดาห์ ดูเหมือนสถานการณ์การเมืองจะมีเค้าลางเป็นไปอย่างที่นักวิเคราะห์และนักโหรา ศาสตร์หลายคนทำนาย
ปีกระต่ายจะดุเดือดไม่แพ้ปีเสือ
แม้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์จะพยา ยามปิดเกมโหมโครงการประชาวิวัฒน์ 9 ของขวัญ เพื่อต่อยอดกระแส "ขาขึ้น" ภายหลังจากพ้นบ่วงคดียุบพรรค
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงปรา กฏว่าประชาวิวัฒน์กลายเป็นมุขแป้กเอาดื้อๆ
สิ่งที่ตามมาคือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาบ้างก็ว่าเป็นการลอกเลียนแบบไม่ต่างอะไรจาก "ประชานิยม" ยุครัฐบาลทักษิณในอดีต
ขณะที่ในมุมของนักเศรษฐศาสตร์ การเมือง มองว่าเป็นนโยบายที่มาจากการแข่งขันทางการเมือง หวังผลในเรื่องการเลือกตั้ง มากกว่าแก้ไขปัญหาในเชิงหลักวิชาการและตามโครงสร้างของสังคม
ที่สำคัญนโยบาย 9 ของขวัญ บางอย่างอาจจะสร้างปัญหาเสถียร ภาพทางเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาว
โครงการส่วนใหญ่ยังให้น้ำหนักกับคนกรุงเทพฯ หรือคนในเมืองหลวงซึ่งเป็นฐานเสียงใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์มากเกินไป เช่น รถจักรยานยนต์รับจ้าง รถแท็กซี่ หาบเร่แผงลอย
ของขวัญ"ซานต้ามาร์ค"ไปไม่ถึงคนจนส่วนใหญ่ในต่างจังหวัด
ดังนั้น แทนที่จะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำ ผลที่ได้อาจเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม
แล้วก็เป็นอะไรที่กลบกระแสประชาวิวัฒน์เสียสนิท
กรณี 7 คนไทยถูกกัมพูชาจับกุมส่งตัวขึ้นศาลกรุงพนมเปญข้อหารุกล้ำเขตแดน โดย 2 ใน 7 คนยังถูกตั้งข้อหาจารกรรมข้อมูลความมั่นคงเพิ่มอีกกระทง
รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เน้นไปที่ 2 สูตรสัด ส่วนส.ส.แบบแบ่งเขตกับปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งกำลังเป็นปมขัดแย้งกันภายในรัฐบาลระหว่างพรรคแกนนำกับพรรคร่วม
จนนำไปสู่ข่าวรัฐบาลอาจสังเวยความขัดแย้งนี้ด้วยการยุบสภาเลือกตั้งใหม่
จริงเท็จอย่างไรเป็นเรื่องต้องตามกันต่อไป
แต่ข้อสรุปหนึ่งจากสถานการณ์รุมเร้ารัฐบาลขณะนี้ก็คือกระแส"ขาขึ้น"ของพรรคประชาธิปัตย์
ยุติลงแล้วในช่วงเวลาสั้นๆ
กรณี 7 คนไทยถูกกัมพูชาจับกุม
แม้ศาลกรุงพนมเปญจะอนุญาตให้ประกันตัวจำนวน 2 คนซึ่งรวมถึง นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ด้วยนั้น แม้จะเป็นสัญญาณดีสำหรับรัฐบาลไทย
แต่การที่มีคนไทยกลุ่มหนึ่งออกมาเคลื่อนไหว ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลและหลายจุดในกรุงเทพฯ รวมทั้งการขู่เคลื่อนขบวนไปปิดด่านชายแดนค้าขายระหว่าง 2 ประเทศ
เพื่อกดดันทั้งรัฐบาลไทยและกัมพูชาให้ปล่อยตัว 7 คนไทย
โดยอ้างว่าจุดพื้นที่การจับกุมนั้นอยู่ในเขตดินแดนประเทศไทย อีกทั้งยังออกแถลงการณ์แสดงท่าทีไม่ยอมรับกระบวนการศาลของกัมพูชา
อาจทำให้เรื่องลุกลามบานปลาย ส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งภายในและนอกประเทศ กระทบต่อแผนการเจรจาช่วยเหลือของรัฐบาล
ที่สำคัญยังส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพของคนไทยทั้ง 7 คน
อย่างไรก็ตามการที่กัมพูชาไม่ยอมประนีประนอมในเรื่องนี้ หากมองย้อนหลังกลับไปจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ ของทั้ง 2 ประเทศ
มาจากการที่นายกฯอภิสิทธิ์ ดึงเอานายกษิต ภิรมย์ มานั่งเป็นรมว.การต่างประเทศ เพื่อทำหน้าที่ไล่ล่าอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร และยังเป็นการตอบแทนกลุ่มพันธมิตรฯ ไปในตัว
ทั้งที่รู้ว่า นายกษิต และกลุ่มพันธมิตรฯ เคยปราศรัย ด่า นายกฯฮุนเซน ไว้อย่างสาดเสียเทเสียในกรณีปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนรอบๆ
จึงเท่ากับเป็นการตบหน้านายกฯฮุนเซน แบบจังๆ
ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาดำเนินมาแบบเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย กระทั่งเกิดกรณี 7 คนไทยเดินข้ามฝั่งไปให้ทหารกัมพูชาจับกุม
จะด้วยความตั้งใจหรือพลัดหลงก็ ตาม แต่ก็ถือว่ารัฐบาลไทยเผลอทำลูกหลุดเข้าตีนกัมพูชา
การคาดหวังจะให้กัมพูชาปล่อยตัวกลับ มาเฉยๆ เหมือนอย่างที่มิตรประเทศพึงกระทำต่อกันนั้น จึงเป็นเรื่องยากแม้แต่ ในความฝัน
นายกฯอภิสิทธิ์ ก็รู้ข้อจำกัดของตนเองในเรื่องนี้อย่างดี
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรทำตอนนี้คือจะคุมอย่างไรไม่ให้กลุ่มพันธมิตรฯ เคลื่อนไหว นำเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเข้าไปสุ่มเสี่ยงมากกว่านี้
แต่ที่เชื่อกันว่าแรงกระเพื่อมอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในน่าจะมาจากเรื่องการแก้ไขรัฐธรรม นูญที่กำลังเป็นประเด็นร้อนตีคู่กันมากับกรณีไทย-กัมพูชา
ความขัดแย้งเรื่องแก้ไขรัฐธรรม นูญรอบใหม่นี้
มีจุดเริ่มมาจากการที่พรรคประชาธิปัตย์ยืนกรานผลักดันสูตรสัดส่วน ส.ส.แบ่งเขตกับปาร์ตี้ลิสต์ แบบ 375+125 ตามข้อเสนอของคณะกรรมการชุดนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์
เพราะเชื่อว่าสูตรนี้จะทำให้พรรคได้ที่นั่งส.ส.เพิ่มมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสจะได้กลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลนำโดยชาติไทยพัฒนาและภูมิใจไทย แท็กทีมผลักดันสูตร 400+100 ที่เป็นประโยชน์กับพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กมากกว่า โดยมีพรรคเพื่อไทยพร้อมโหวตหนุน
อย่างไรก็ตามก่อนที่เรื่องดังกล่าวจะถูกส่งเข้าไปตัดสินชี้ขาดกันในที่ประชุมรัฐสภา ประมาณเดือนก.พ.-มี.ค. พรรคประชาธิปัตย์ยังมีเวลาเจรจาต่อรองกับพรรคร่วมอีกเฮือกใหญ่
ผลจะออกมาอย่างไรต้องติดตามห้ามกะพริบตา
ในจังหวะที่คดี 91 ศพเหยื่อปราบปรามเดือนพฤษภา"53 กลับมาร้อนวูบวาบอีกครั้ง
ไม่ใช่แค่เรื่องที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอเข้าให้ข้อมูลกับกรรมาธิการวุฒิสภาว่า มี 13 ศพที่เชื่อได้ว่าเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น
ยังต้องจับตากรณีกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนของประเทศอังกฤษ ออกหนังสือเชิญ นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น้องเกด เหยื่อ 6 ศพวัดปทุมวนาราม ไปให้ข้อมูลเรื่องที่เกิดขึ้นในไทย
ทั้ง 3 เรื่องตีวงกระชับพร้อมกัน
จนรัฐบาลแทบไม่เหลือทางเลือกอื่นนอก จากยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจว่าประเทศชาติควรเดินต่อไปในทิศทางใด
แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายคุมอำนาจตัวจริงประเมินสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร