ที่มา thaifreenews
โดย bozo
สวัสดีปีใหม่ครับ!
บทความประจำสัปดาห์ฉบับนี้ วางแผงวันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2554 ซึ่งเป็นวันปีใหม่
ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลจักรวาล คุ้มครองท่านผู้อ่าน ที่เคารพรักของผม
ความเจ็บให้รู้หาย ความไข้อย่ารู้มี เจริญสุขสวัสดี ตลอดปีและตลอดไป!!
ยังอยู่ในระยะเวลาแห่งความสุขปีใหม่
ไม่อยากให้ท่านผู้อ่านเครียด เลยขอขอนำเรื่องเบาๆ มาคุยให้ฟัง
ที่อยากพูดถึง ก็คือ
เรื่องการตั้ง “ฉายา” ที่ดูเหมือนจะกลายเป็นประเพณีของเมืองไทยไปแล้ว
ที่บรรดาสื่อต่างๆต้องตั้ง “ฉายา” ให้กับรัฐบาลและนักการเมือง
ซึ่งมีจุดเริ่มจากนักข่าวทำเนียบรัฐบาลเมื่อหลายปีก่อน
ซึ่งต่อมาสื่อต่างๆก็พากันเอาอย่าง จึงมีการตั้งฉายากันหลายสำนัก
รัฐบาลและคนในรัฐบาล บางคนก็ชอบฉายาที่ได้รับ แต่ผู้ที่ไม่พอใจก็มีแยะ!
พวกที่มีเรื่องมีราวไม่สู้ดี เช่น มีเรื่องการทุจริต
หรือไปประพฤติเลวร้าย หรือแค่ทำอะไรเปิ่นๆ ก็มักจะนั่งอกสั่นขวัญแขวน
ก่อนถึงเวลาจะมีการประกาศฉายา
นอกจากนักการเมืองแล้ว ก็ยังมีการตั้งฉายาให้กับคนดัง
ในวงการต่างๆ เช่นดารา ข้าราชการ ตำรวจ
ก็สนุกสนานกันดี โดยเฉพาะคนอ่านอย่างเราๆ ท่านๆ
ปีนี้การตั้งฉายานักการเมือง ที่ดังก่อนใครๆ กลับไม่ใช่สื่อสารมวลชน
หากแต่กลายเป็น สมาคมรัฐศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ร่วมกับชุมนุมรัฐศาสตร์ มก.
ซึ่งมีตัวแทนนิสิตภาควิชารัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มก.
ได้จัดกิจกรรมแถลงข่าว เรื่องการตั้งฉายาสถาบันทางการเมืองไทย
ตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2553 ตัดหน้าสื่ออื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์
เลยชิงพื้นที่ข่าวในวงการตั้ง “ฉายา” ได้ก่อนเจ้าอื่นๆ
แม้กระทั่งเจ้าประจำดั้งเดิมคือ ผู้สื่อข่าวสายทำเนียบรัฐบาล
ใช่แต่แค่นั้น การตั้งฉายาของกลุ่มนี้ ก็ไม่ใช่เล่นอย่างตั้งฉยารัฐบาลได้น่ารัก ว่าเป็น
รัฐบาล-′เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊ว′
การอธิบายความของเขา ก็มีเหตุมีผลพอฟังได้ โดยเขาอธิบายว่า
รัฐบาลโลซกของนายมาร์ค มุกควาย นั้น
มีอำนาจนอกระบบ ไม่ว่าเป็นบุคคล กองทัพ กระบอกปืน หนุนหลัง
เข้าท่าแฮะ!
เปรียบเสมือนการเอาเส้นใหญ่ ไปผัดซีอิ๊ว โดยเอาผักสีเขียว
ซึ่งหมายถึงทหาร ไข่ไก่สีเหลือง หรือพันธมาร เป็นเครื่องปรุง
แต่กลายเป็นเครื่องปรุงอัปรีย์ เพราะไปร่วมมือกันประทุษร้ายรัฐบาลทีมาจากการเลือกตั้ง
จนช่วงชิงอำนาจรัฐมาได้ (แต่ประชาชนเขาไม่ยอม ประเทศจึงแตกแยกหนัก!)
แถมยังดันเสือกใส่ซีอิ๊วราคาถูกที่สีดำปี๋ แล้วนำไป
ผัดรวมๆกัน!!
ความที่พ่อครัวใส่“ซีอิ๊ว” หรือ “หนักซีอิ๊ว” ไปหน่อยเปรียบเสมือนการใส่สีดำ
อันเป็นเครื่องหมายของความ “ทุจริต” มากไปหน่อย
ผัดจานนี้เลยออกมาดำมอมแมม ตั้งแต่เริ่มผัด
นี่คงสื่อถึงความจริง ที่ “รัฐบาลโลซก” ของนายกฯมุกควาย
ซึ่งเข้าบริหารเพียงไม่กี่วัน ก็มีแต่เรื่องทุจริต อันไม่มงคลต่อบ้านเมือง
โผล่กันมาตลอดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าเรื่อง...
ปลากระป๋องเน่า โครงการไทยแดกด่วน
เรื่องการจะหาแดกกันในกระทรวงหมอ จนคณะที่ปรึกษา ต้องลาออกทั้งยวง และในที่สุด
รัฐมนตรีทนเองหน้าด้านอยู่ไม่ไหว ต้องจำใจลาออก
ยังเสือกทำสะอึกสะอื้น น่าทุเรศ อย่างนี้เป็นต้น
หลังจากนั้น ก็มีเรื่องทุจริตหนุนเนื่องมาโดยตลอด
แต่รัฐบาลโดยเฉพาะนายมาร์ค มุกควาย ก็เล่นบทคุณชายสะอาด คือ
ใครโกงได้...ก็โกงไป!
แต่รัฐบาลพยายามฉายภาพให้เห็นว่าว่า ใครโกงก็โกงไป
แต่นายมาร์ค มุกควาย นั้น ไม่โกงนะ จะมาต่อว่า
หรือให้นายกรับผิดชอบได้อย่างไร รัฐมนตรีโกง คนในพรรคโกง ก็ไม่ใช่นายมาร์คฯโกง
จำไว้นะ นายกฯไม่โกงงงงงงงงงงงงง!!
ถ้าเอ็งเห็นใครโกง เอ็งก็ไปเอาเรื่องกับคนนั้นซีวะ
พวกเอ็งจะมาเอาผิดกับนายกฯได้อย่างไร แปลกนี่หว่า?
พวกมันก็คิดกัน อย่างนี้แหละครับ!!!
ช่างเป็นความ “อาภัพ” ของประเทศนี้จริงๆ เพราะคนที่มีเรื่องโกง
อย่างนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน
ทาง ป.ป.ช.ก็บอกว่า กำลังให้สมาคมทนายความร่างฟ้อง
แต่ไม่ยักเสร็จสักที จนเปิดโอกาสให้นายอภิงาบ ไปสมัครรับเลือกตั้ง และได้รับเลือก
จนป่านนี้ยังร่างฟ้องไม่เสร็จ
น่าทุเรศกะอีแค่ “คดีดินสอหนีบตูด” อย่างนี้ ร่างกันเป็นเดือนๆแล้ว ก็ยังไม่เสร็จ
ไม่ได้มุ่งร้าย หมายขวัญ อะไรหรอกครับ แต่อยากจะให้ฟ้องเร็วๆ เพราะผมอยากรู้ว่า
อีตาคนนี้... จะ ‘ติดคุก’ หรือเปล่า?
แค่นั้นเอง
คนไทยนั้น เป็นพวกชอบตั้งฉายาจริงๆ ผมเองนั้นเป็นคนชอบมวยมาตั้งแต่เด็กๆ
และในวงการมวยในตอนนั้น มีการตั้งฉายาให้นักมวยดังๆ ในยุคนั้น เช่น
อุสมาน ศรแดง ฉายา “โอรสเจ้าอาหรับ” เพราะเป็นมุสลิมหน้าตาหล่อเหลาระดับพระเอก
ทองใบ ยนตรกิจ ฉายา “ยางตัน” เพราะอึดนัก
ประยุทธ์ อุดมศักดิ์ มี 2 ฉายา
“ม้าสีหมอก” เพราะมีร่างกายสูงสง่า กับฉายา “สุภาพบุรุษที่ราบสูง”
เพราะเป็นคนโคราช ที่ราบสูงประตูสู่อีสาน เขามีความประพฤติเรียบร้อย
ทั้งในและนอกสังเวียน เป็นข้าราชการอยู่กรมสรรพาสามิต
ดาราหนังก็มีฉายากัน เช่น คุณเพชรา เชาวราษฎร์ ดวงตาทั้งคู่ของเธอสวยนักสวยหนา
เลยได้รับฉายาว่า
“นางเอก นัยน์ตาน้ำผึ้ง”
นักร้องอย่างพี่เทพของผม หรือสุเทพ วงศ์กำแหง ฉายาเหลือกำลังลาก
ซึ่งได้รับจากตามความไพเราะของเสียง คือ
“เสียงขยี้แพร ในฟองเบียร์”
เสียงจะไพเราะขนาดไหน ท่านผู้อ่านลองตัดผ้าแพร แล้วนำไปขยี้ในฟองเบียร์ดูเอง
สำหรับผู้ที่ติดตามเว็บ มาเป็นเวลาพอสมควร คงจะทราบว่า
ผมได้ให้ฉายาหัวหน้าพรรคประชาธิเปรตไว้ ซึ่งชักจะเริ่มเป็นที่ติดปากผู้คนแล้ว เช่น
นายมาร์ค มุกควาย
ที่ต้องให้ฉายาอย่างนี้ เพราะแกปล่อยมุก
ตอนที่พันธมารเข้าปิดล้อมทำเนียบ สมาชิกสภาผู้แทนเข้าประชุมไม่ได้
นายอภิแสบหัวหน้าพรรคฝ่ายค้นในตอนนั้น เดินเข้าประชุมสภา ทำเล่นมุกว่า
“วันนี้ ไม่มีการประชุมสภาหรือ?”
ทั้งๆที่ ส.ส.ลูกพรรคของแก เดินนำขบวนพันธมารเข้าปิดล้อมสภา
ผมเลยบอกว่า “มุก” อย่างนี้ เป็น
“มุกควาย”
เลยให้ฉายาแกว่า “นายมาร์ค มุกควาย”
(ขอยืนยันว่า “มุก” หรือ “มุกตลก” นั้น สะกดด้วย “ก.ไก่”ไม่ใช่ “ข.ไข่” อย่างแน่นอน)
บางครั้งผมเอามุก 2 มุกมาเล่นซ้อนกัน เช่น
มาร์ค มุกควาย = “กล่องขี้” ยี่ห้อ “อ๊อกซฟอร์ด”
คือ ผมเห็นว่า แกล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
เหมือนในหัวกบาลไม่อะไรเลย นอกจาก “ขี้” หรือหัวกบาล “กล่องขี้”
(อ่านได้ใน มาร์ค มุกควาย = “กล่องขี้” ยี่ห้อ “อ๊อกซฟอร์ด” http://vattavan.com/detail.php?cont_id=259)
อีกฉายาหนึ่ง คือ
“นายอภิแสบ ภักดีโพเดียม”
ที่ตั้งฉายานี้ให้ เพราะแกชอบขึ้นโพเดียมจริงๆ บางวันวิ่งรอกพูด 3-4 โพเดียม
วิกิลีกส์ก็เผยออกมาว่า
มีตาเฒ่าคนหนึ่ง ดันทะลึ่งไปบอกกับทูตมะกัน ในทำนองว่า นายกฯไทยบริหารประเทศไม่เข้าท่า
วันๆเอาแต่...ขึ้นโพเดียม!
ผมไม่รู้ว่าทูตมะกันนั้น เป็น “เตี่ย” ของตาเฒ่าหรืออย่างไร
ก็ไม่ทราบ?
ต้อง ‘เสือก’ ไปรายงานให้เขารู้ มันกงการอะไรวะ!!
สำหรับรัฐบาล ที่มีพรรคดักดานเป็นแกนนำ ผมให้ฉายาที่เริ่มเป็นที่ติดปากผู้คนแล้วว่า
“รัฐบาลโลซก”
อย่างที่ผมเขียนในบทความชื่อ “อภิสิทธิ์กับ ‘รัฐบาล-โลซก’ ยื่น ‘นรก’ ให้คนไทย!!!” (http://vattavan.com/detail.php?cont_id=156)
หากท่านผู้ใดจะถามว่า ทำไมถึงใช้คำว่า “โลซก”
ต้องขอติดไว้ก่อน จะได้ขยายให้ฟังในวันหลัง เนื่องจากต้องเร่งส่งต้นฉบับ จะรีบไป
ฉลองปีใหม่ครับ!
ก่อนจบ ผมของย้อนกลับไปเรื่องฉายาคนที่อยู่ในวงการนักร้องนักแสดงปัจจุบันสักนิด
เพราะการตั้งฉายคนในวงการนี้ ก็มีมานาน พอๆกับวงการมวย แต่ไม่กว้างขวางเท่า
ปีนี้มีฉายาหนึ่งที่ฟังแล้วชอบ เพราะเขาใช้คำว่า DNA มาประกอบคำว่า “ม่าย”
เลยกลายเป็น “ม่าย DNA” ทั้งๆที่เธอไม่มีสภาพเป็น “แม่ม่าย” เพียงแต่จะต้องพิสูจน์หา
ความเป็น “พ่อ” ของลูก กับพระเอกเจ้าปัญหาเท่านั้น!
บางคนเขาบอกว่า
ฝ่ายหญิงซึ่งเป็นดาราปลายแถว ไม่เห็นจำเป็นต้องทุรนทุราย ไปตรวจพิสูจน์หรอก
อาจเป็นเรื่องไม่ดีกับเด็กด้วยซ้ำไป เพราะผู้ที่ถูกพาดพิงว่าเป็นพ่อของเด็ก ดันเคยมีประวัติไป...
กินอยู่กับผู้ชายด้วยกัน แบบคู่ผัวตัวเมีย มาก่อน!
(ไม่รู้ว่าใครเป็น ‘ผัว’ และใครเป็น ‘เมีย’ กันแน่?)
ความจริงแล้ว น่าจะตั้งฉายาให้อีตาพระเอกคนนี้ ว่า
“นาย ฟ. ฟันโทเพศ”
“โท” แปลว่า “สอง” และ “โทเพศ” ก็คือ “สองเพศ” นั่นเอง หรือเรียกสั้นๆว่า
“ฟ. ฟันโทเพศ”
หมายถึง วิปริตเป็นพิเศษ เพราะสามารถ “ฟัน” หรือ “ถูกฟัน” คือ
เป็นทั้งฝ่าย “รุก”ฝ่าย “รับ” ได้ทั้ง “โทเพศ” คือ
ได้ทั้ง “ชาย” และ “หญิง” นั่นเอง
เรียกว่า จะให้เป็น “ผัว” ก็ได้ หรือจะให้เป็น “เมีย” ก็ดี ไม่มีเกี่ยง
สามารถฉลองศรัทธา ให้ได้ทั้งนั้น!
ฮู้ยยยยย...ลงอย่างนี้ละก้อ คงจะเป็นที่ถูกใจ คุณนาย “เสรี วงศ์มนต์เทย” แน่ๆ!!
***********
หมายเหตุ ข่าวลือเขาบอกว่า นักกินเมืองยุคนี้
ก็มีพวกวิปริต “ฟ. ฟันโทเพศ” ไม่น้อยนะ วันหลังคงจะต้องเอามาแง้มทวาร
แล้วนำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังกันบ้าง
ระยะปีใหม่นี้ ก็เขียนเรื่องเบาๆ ให้สบายกระดอง
และฟังข่าวพวกกินเมืองเขาฉลองประตูหน้า ยันประตูหลังกัน แบบไม่เครียด ดีกว่านะครับ
(คอลัมน์ อะไรกัน “ฟัน...โทเพศ”!? ออนไลน์วันเสาร์ ที่ 1 มกราคม พ.ศ.2554)
http://www.vattavan.com/detail.php?cont_id=270