วันที่ 11 เมษายน...เวลา13.00 น. ม็อบแดงเดือด บุกโรงแรมรอยัลคลิฟ บีช รีสอร์ท พัทยา...ทำให้การประชุมอาเซียนครั้งที่ 14 ต้องจบลง และเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด
วัลลภ คล้ายพงษ์ ผู้สื่อข่าวสกู๊ปหน้า 1 ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ ใกล้ชิดบริเวณถนนพัทยาใต้ ทางขึ้นสะพานแหลมบาลีฮาย รายงานว่า...
จุดนี้ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ...ที่จะผ่านไปถึงโรงแรมได้ ตั้งแต่สองโมงเช้ากว่าๆ ม็อบแดงกับม็อบน้ำเงิน เริ่มมีปากเสียงกันเป็นระลอก
ปมปะทะรอบแรกๆ มาจากคำพูดผ่านเครื่องขยายเสียง ที่ต่างฝ่ายต่างก็โจมตีกันไปมา จากระยะยืนประจันหน้า 200 เมตร
บางคนก็ถลำเข้าใกล้กันมาก ทุบตีกัน ขว้างขวดสิ่งของใส่กัน
“หนักหน่อย ก็ปาประทัด ได้ยินเสียงปัง...บางทีก็ดังสนั่น คล้ายเสียงระเบิดปิงปอง มีแรงอัดมากกว่าประทัดทั่วไป”
คะเนด้วยสายตา...ม็อบน้ำเงิน มีอยู่ 300-400 ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับทหาร ตำรวจ ตชด.ที่มีกว่า 2,000 ส่วนม็อบแดงมีไม่เกิน 600
ช่วงเวลาปะทะนี้ เจ้าหน้าที่ยังนิ่ง...จนเวลาผ่านไปถึงสิบโมง ฝ่ายเสื้อแดง เสื้อน้ำเงินก็ส่งตัวแทนมาเจรจา จับมือกัน
โดยมีกติกาสำคัญ...ห้ามพูดจาโจมตียั่วยุกันเด็ดขาด
วัลลภ บอกว่า ต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าเป็นคนพัทยา แต่ก็ไม่เข้าใจว่า... คนพื้นที่เดียวกัน ต่างกันแค่สีเสื้อ ทำไมทำร้ายกันได้
บรรยากาศบริเวณนี้ ยังมีคนในพื้นที่ ที่ไม่มีสี มีฝ่าย มาร่วมสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ พอสถานการณ์บานปลาย พ่อค้าแม่ค้าร้านต้นไม้ ขายกระถางริมถนน ก็ปิดร้าน คลุมแสลน (ตาข่ายสีเขียวหรือสีดำ) ผ้าใบกันเรียบร้อย
กระทั่งร้านลาบ ส้มตำ ก็พากันปิด...ปิดร้านเรียบร้อยดีแล้ว แต่ละคนยังไม่กลับบ้าน ต่างก็เลือกมามุงดูการปะทะระหว่างม็อบแดงกับม็อบน้ำเงิน
“ฝรั่งนักท่องเที่ยว ผ่านไปผ่านมา ก็หยุดดู บางคนหยิบกล้องขึ้นถ่ายรูป บางคนไม่รู้มาจากไหน ใส่เสื้อแดงขี่ช็อปเปอร์ทำท่าจะขับฝ่าเข้าไปในม็อบเสื้อน้ำเงิน...คงรู้สึกแปลกๆ ก็เลยรีบขับรถกลับ”
ความสงบผ่านไปได้ไม่เท่าไหร่ ม็อบเสื้อแดงส่วนหนึ่งก็ขึ้นไปบนสะพานลอย ไปยืนอยู่กลางม็อบเสื้อน้ำเงิน แล้วก็เกิดการปะทะคารมขึ้นมาอีกครั้ง
“ต่างฝ่ายต่างมีอารมณ์คุกรุ่นอยู่แล้ว ชนวนเล็กๆก็กลายเป็นชนวนใหญ่”
จังหวะที่ไม่มีใครได้ตั้งตัว ก็มีเสียงปืนดังขึ้นฟ้า 2 นัด วัลลภคะเนว่า มาจากฝ่ายเสื้อน้ำเงิน หลังจากนั้นไม่เท่าไหร่ ไม่รู้ว่าใครสั่ง...ทหาร ตำรวจ ตชด.ที่ตั้งด่านกั้นอยู่ทั้งหมดก็เดินถอยขึ้นไปบนเขา ทางขึ้นโรงแรม
เป็นอีกครั้ง ที่เจ้าหน้าที่...มองการปะทะระหว่างคนเสื้อแดง กับเสื้อน้ำเงิน เฉยๆ...โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย
สถานการณ์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง...ม็อบเสื้อน้ำเงินประกาศออกไมค์ผ่านเครื่องขยาย ให้เดินตามทหารไป
วัลลภ บอกว่า นี่คือสถานการณ์เชื่อมโยงต่อเนื่องไปถึงปมร้อน ทำให้ม็อบเสื้อแดงกลายเป็นม็อบแดงเดือด บุกโรงแรมล้มการประชุมอาเซียนซัมมิทในเวลาต่อมา
จิ๊กซอว์สำคัญ ที่เป็นข้อเสนอจากม็อบเสื้อแดง...พุ่งประเด็นไปที่รัฐบาลสลายการชุมนุมของประชาชนด้วยปืน ผูกเงื่อนไปถึงกรณีดักยิงโชเฟอร์ แท็กซี่อีก 2 ราย
เป็นปัจจัยเร้าให้ความรุนแรงถึงขีดสุด โดยที่นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก...ยุบสภา
บรรยากาศการปะทะ...บรรยากาศการบุกเข้าไปในโรงแรมรอยัลคลิฟ บีช รีสอร์ท ของม็อบแดง จะว่าไปแล้ว วัลลภบอกว่า...ไม่ได้กระทบกับการท่องเที่ยวเท่าใดนัก
คืนวันก่อน วัลลภออกสำรวจแสงสียามค่ำคืนเมืองพัทยา ไม่ว่าพัทยาเหนือ พัทยาใต้ พัทยาสาย 1...สาย...2...สาย 3 นักเที่ยวราตรี หนาตาทีเดียว
ปกติของพัทยายามเศรษฐกิจโลกเป็นแบบนี้ ถือว่านักท่องเที่ยวน้อยอยู่แล้ว แต่ที่น่าสังเกต คนที่มาเดิน นักท่องเที่ยวเกาหลี ฮ่องกง ไปเที่ยวดูโชว์สาวประเภทสองเต็มไปหมด
“ภาพที่เห็น...ไม่มีใครกลัวว่าจะเกิดเหตุร้าย หรือจะมีม็อบปะทะกันรุนแรงระหว่างมีการประชุมอาเซียน” วัลลภ ว่า “เรื่องของเรื่องคือคนไม่รู้ว่ามีม็อบประท้วง พัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยว คนมาเที่ยวก็สนใจแต่จะเที่ยว”
เห็นได้ชัดนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนไม่น้อยไม่รู้สถานการณ์ ใส่เสื้อแดงเดินเที่ยวสนุกสนาน เฮฮา และที่ใส่เสื้อน้ำเงินก็มี
วัลลภตั้งข้อสังเกต...คนต่างชาติกลุ่มนี้น่าจะอาศัยอยู่ในพัทยามานาน ต่างกับนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจมาเที่ยว ก็ดื่มเบียร์ นั่งกินบรรยากาศเคล้านารี กันเพลิน
“ผับบาร์บางแห่ง เปิดเอเอสทีวี ก็ไม่มีใครสนใจ หลายแห่งก็เปิดดีทีวี ก็ไม่มีใครดู เพราะผับ บาร์ คาเฟ่ส่วนใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวมากหน่อยก็นิยมเปิดแต่เพลง หนัง มันส์ๆ เอาใจลูกค้า”
วัลลภ บอกอีกว่า การปะทะ การชุมนุมไม่มีผลกับพัทยา การปิดการจราจรอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในกรุงเทพฯยังจะมีผลมากกว่า กระทบกับการเดินทาง
บ่ายสี่โมงหลังสถานการณ์คลี่คลายไปแล้ว คุยกับพนักงานนวดแผนโบราณ ก็รับลูกค้าแบบไม่หยุดมือ เธอก็ว่า “รายได้ไม่ได้ตก นักท่องเที่ยวก็ไม่มีใครตื่นเต้นตกใจอะไร”
ถามเพื่อนหลายคน ก็บอกว่าไม่รู้ข่าว...ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่ามีการปะทะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า พัทยามีการประชุมอาเซียน
ฐานความคิดคนกลุ่มนี้ ชี้วัดว่า ข่าวสารบ้านเมืองสำคัญน้อยกว่าอาชีพเลี้ยงปากท้อง
“กลางวันพัทยาเป็นเมืองหลับ จะสดชื่นตื่นเต้นก็หกโมงเย็นเป็นต้นไป เวลานั้นนั่นแหละ พัทยาถึงจะตื่น”
ที่ผ่านมา...บรรยากาศตึงเครียด ก็มีเพียงพื้นที่ละแวกโรงแรม เพราะมีด่าน แนวกั้นจากทหาร ตำรวจ รวมไปถึงรถโมบายถ่ายทอดสดของทัพนักข่าว จากทุกสำนักที่ทำให้บรรยากาศวุ่นวาย
“ทหารไม่ได้แต่งชุด เดินถือปืนเข้ามาทั่วพัทยา...คนทั่วไปก็มีวิถีชีวิตเป็นปกติ
ที่น่ากลัวกว่า ก็น่าจะเป็นการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน พื้นที่ พัทยา...ชลบุรี...
คราวนี้จะทำให้พัทยารู้สึกน่ากลัวจริงๆ”
หลายคนบอกว่า อยู่เงียบๆก็ไม่มีใครรู้ การประกาศแบบนี้นอกจากทำให้ทุกคนรู้ แล้วยังเป็นการย้ำว่า พัทยา เป็นพื้นที่อันตราย
ผู้ประกอบการ ร้านดื่ม เที่ยว โชว์ต่างๆ ก็กลัวมีปัญหา จะเปิดให้บริการได้ไหม จะมีคนมากิน มาดื่ม มาดูโชว์เกิน 5 คน จะถือว่าเป็นการมั่วสุมหรือเปล่า
“พัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยว ไม่รู้ว่ารัฐบาลคิดผิดหรือถูก...เป็นความจริงที่ว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงเหมือนเป็นใบเสร็จออกให้คนทั้งประเทศรู้ว่าม็อบแดงสร้างความเดือดร้อน สร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้ประเทศไทย
แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็เป็นการทิ้งรอยแผลเป็นลึกๆไว้ให้เมืองพัทยา”
นี่คือมุมคิดเล็กๆ จากคนระดับล่าง ที่มองผลกระทบที่จะตามมาหลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
การประชุมอาเซียนครั้งที่ 14 ปิดฉาก เลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด แต่การท่องเที่ยวพัทยานับต่อจากนี้ ยังต้องเผชิญหน้ากับเคราะห์ กรรมต่อไป.