ที่มา ไทยรัฐ
ในขณะที่ “อินทรีเหล็ก” กำลังเขียนต้นฉบับอยู่นี้.....บ้าน เมืองกำลังลุกเป็นไฟ.....การที่รัฐบาลอาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง ใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ในจุดต่างๆ.....ท่ามกลางการต่อต้านจากคนเสื้อแดง.....ภาพไม่แตกต่างจากเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ 2535 เท่าไหร่นัก............
จะห้ามใช้ความรุนแรงจะถึงกับเลือดตกยางออกหรือต้องสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอย่างไรแค่ไหน คงจะสายเกินแก้......วิกฤติการเมืองถลำลึก.....เพียงแต่นึกเสียใจอยู่นิดเดียวว่า ในระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา.....ประชาธิปไตย และพฤติกรรมของคนในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง.....ยิ่งจะถอยหลังลงคลองด้วยซ้ำ............
สิ่งที่เป็นอันตรายกว่าพฤษภาทมิฬก็คือ ความแตกแยกของคนไทย จะหยั่งรากลึกจนถอนไม่ขึ้น....ไม่ใช่คนเสื้อแดงใน กทม.เท่านั้น .....แต่ยังมี เสื้อแดงทั่วประเทศ.....ยังมีเสื้อน้ำเงิน ยังมีเสื้อเหลืองและยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับ ความวุ่นวาย ที่เกิดขึ้น ....หรือถึงคราวที่ประเทศไทยจะต้องแบ่งแยกกันปกครอง............
“อินทรีเหล็ก” ได้แต่คาดหวังว่า เมื่อเหตุการณ์ล่วงเลยมาจนถึงบัดนี้ นักการเมือง ที่เป็นตัวแทนของประชาธิปไตย คนชั้นปัญญาชน ผู้ที่อวดอ้างว่ารักประชาธิปไตยจะออกมาช่วยกัน หาทางออกให้กับประเทศชาติ และประชาชน.....
ที่ไหนได้รักตัวกลัวตายกันหมด พับผ่า............
เพราะฉะนั้น “อินทรีเหล็ก” ไม่คิดว่าจะมีทางออก เกิดขึ้นในสภา และไม่มีทางที่รัฐบาลจะใช้ วิธีทางประชาธิปไตย เข้าแก้วิกฤติ ......จนกว่าจะนองเลือดกันทั้งแผ่นดิน............
บทเรียนในอดีตที่ผ่านมาวิกฤติการเมืองทุกครั้งไม่สามารถ ยุติลงได้ด้วยสงคราม แต่จะยุติได้ด้วย การเจรจา ถ้าปิดทางเจรจากันไปแล้ว.....ไม่พ้นการเผชิญหน้า “อินทรีเหล็ก” พูดอย่างตรงไปตรงมา รัฐบาลสามารถที่จะ ปราบคนเสื้อแดงได้ทั้งประเทศ หรือไม่.....หรือคนเสื้อแดงสามารถจะ เอากำลังชนะรัฐบาล ได้หรือไม่.....บทเรียนจากพฤษภาทมิฬน่าจะพิสูจน์ได้ดีที่สุด............
และบทเรียนที่สำคัญอีกบทหนึ่งจากพฤษภาทมิฬ นั่นคือ การทำหน้าที่ของสื่อมวลชน.....ต้องไม่เป็นกระบอกเสียงของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งและต้องเปิดพื้นที่ให้กับทั้งสองฝ่ายชี้แจงถึงข้อเท็จจริง.....เพราะ การบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร จะทำให้เหตุการณ์เลวร้ายมากขึ้น นำมาซึ่งความสูญเสียร้ายแรงกว่าที่ควรจะเป็น............
และถ้าจะมองวิกฤติการเมืองที่เกิดขึ้นด้วยความเคารพ ในสิทธิและเสรีภาพ ในระบอบประชาธิปไตย.....คนเสื้อแดงก็จะต้องได้รับสิทธิอันนี้เช่นกันเช่นเดียวกับ คนเสื้อเหลือง ....ไม่เช่นนั้นการใช้อำนาจรัฐและพฤติกรรมของคนที่อยู่ในอำนาจรัฐจะถูกครหาว่าเป็นการใช้อำนาจ เพื่อรักษาอำนาจ เอาไว้เท่านั้น............
ในสายตาสื่อต่างชาติ เอเอฟพี อ้างการแสดงความเห็นของ สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการว่า เหตุการณ์จากการประชุมซัมมิตครั้งนี้จะทำให้การ แตกแยกร้าวลึก ไปมากขึ้นในสังคมไทยและประเทศไทยจะ ถูกแบ่งแยก ไม่มีเสถียรภาพไปอีกหลายปี.....อาจตกอยู่ภายใต้รัฐบาลทหาร............
อย่างน้อยๆ ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และฮ่องกง ออกคำเตือนในการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย กลายเป็น ดินแดนมิคสัญญี....บีบีซี ระบุไทยกำลังตกอยู่ขอบเหวแห่งความโกลาหล.....สื่อทั่วโลกประโคม ข่าวจลาจล ในไทยเป็นข่าวใหญ่ครึกโครม .....ประเทศไทยจงเจริญ............
สื่อเทศสื่อไทยจะมองแตกต่างกันอย่างไร ขึ้นอยู่ กับ การเรียนรู้ประชาธิปไตย ที่แตกต่างกัน....ความเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่วัดที่มีการเลือกตั้ง หรือรัฐธรรมนูญเท่านั้น....แต่ต้องวัดที่จิตสำนึกด้วย............
แม้ ผบ.ทหารสูงสุด พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ในฐานะ ผอ.กองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ออกมาแถลงว่า ทหารไม่ใช้อาวุธเข้าปราบปราม ยกเว้นจะเป็นการป้องกันตัว.....แม้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ยืนยันว่าไม่มีผู้เสียชีวิตจากการปะทะและใช้เพียงกระสุนกระดาษเท่านั้น.....ความจริงย่อมหนีความจริงไม่พ้น............
เอ้า จริงเท็จประการใด กับข่าวที่ว่างานนี้ ตำรวจไม่แฮปปี้.....ก็ข่าวอ้างเหตุผลมาจากที่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศต่อหน้า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ว่า หากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามก็ต้องมีการพิจารณา.....จบข่าว............
เริ่มมีข้อเสนอทางออกโดยสันติวิธี จากการประชุมหารือของ สมาชิกวุฒิสภา.....จากข้อเสนอของ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ที่จะให้มีการตั้ง สภาปรองดองแห่งชาติ ขึ้นมายุติวิกฤติ.....และอีกสารพัดข้อเสนอ สำคัญอยู่ที่ว่า หลักการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีจะได้รับการยอมรับหรือไม่เท่านั้น............
หรือกรณีที่อดีตประธานวุฒิสภา สุชน ชาลีเครือ นำคณะอดีต ส.ว.เข้า ยื่นถวายฎีกาขอพระบารมี สลายความขัดแย้งทางการเมือง แม้ทุกฝ่ายพยายามที่จะเสนอทางออกของวิกฤติ.....แต่เพราะการแบ่งข้างกันเอาไว้ซะแล้ว เห็นทีไม่พ้นที่ประชาชนต้องเผชิญหน้ากันครั้งใหญ่............
ล่าสุดที่ รองนายกฯสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาแถลงถึงสถานการณ์กลุ่มก่อการจลาจลอาจจะ ก่อวินาศกรรม วางเพลิงขว้างระเบิดในหลายพื้นที่....ทั้งนี้ ในจอทีวี.....คนเสื้อแดง ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยกลายเป็น ผู้ก่อการจลาจล ไปซะแล้ว............
ในยามที่บ้านเมืองกำลังสับสนวุ่นวาย.....การป้องกัน มือที่สาม เข้าแทรกแซงเป็นเรื่องยาก.....ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร......มหกรรมจุดไฟเผาเมือง จึงเกิดขึ้น ส่งผลให้วิกฤติประเทศครั้งนี้ มุ่งสู่เส้นทางแห่งความหายนะ............
วิกฤติจากภายในลามไปสู่ภายนอก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติ ซีเอ็นเอ็น บีบีซี อัลจาร์ซีราห์ ที่คนไทยออกมาประท้วงเพราะต้องการเห็นประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่กลับถูกใช้วิธีปราบปรามอย่างรุนแรง.....ขณะที่ นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โต้ทางซีเอ็นเอ็น ยืนยันเป็นรัฐบาลมาจาก ระบอบประชาธิปไตย และไม่มีการใช้ความรุนแรงไม่มีผู้เสียชีวิต......ช่วงชิงยึดพื้นที่สื่อกันอุตลุด............
ท้ายนี้ “อินทรีเหล็ก” อยากจะเตือนสติว่า ความหายนะที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ระหว่างคนไทยด้วยกันเองผลลัพธ์ย่อมจะตกกับ ประชาชนและประเทศชาติ ในที่สุด............
“อินทรีเหล็ก”