ที่มา ไทยรัฐ
อย่างน้อยๆก็ต้องได้ไปกับคะแนนของความรับผิดชอบ แกนนำม็อบ นปช. ไม่เอาชีวิตของผู้บริสุทธิ์มาเป็นเหยื่อสังเวยปลายกระบอกปืนทหาร
ที่แน่ๆถ้าดันทุรังสู้ แล้วคนตายเป็นเบือ
ด้วยข้อหา “สารเลว” พาคนไปตาย ที่ฝ่ายถืออำนาจและสื่อในสังกัดพร้อมกระพือ กระแสเสื้อแดงที่เร้ากันไว้ครึ่งค่อนประเทศ
มีหวังดับวูบ ไม่มีทางจุดติดอีกต่อไป
และก็เป็นอะไรที่ไม่ได้กลับบ้านมือเปล่าซะทีเดียว
กับรายการที่เกิดขึ้นกับนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ถูกล็อกกุญแจมือไพล่หลัง หิวขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปสอบสวนที่ค่ายนเรศวร เพชรบุรี ตั้งข้อหาร้ายแรง โทษฐานบุกโรงแรมล้มโต๊ะงานประชุมอาเซียน ทำให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เสียหน้า
ขณะที่นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำม็อบ นปช. ยอม สลายม็อบ เดินเข้ามอบตัวกับตำรวจโดยดี แต่โดนล็อกตัวแยกขังเดี่ยวตามค่ายทหาร และ ตชด.
เทียบกับขาใหญ่ม็อบพันธมิตรฯที่โดนข้อหาก่อการร้ายสากล บุกยึดท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ ปิดสนามบินดอนเมือง ยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นเดือนๆ
ตำรวจต้องโค้งคำนับตอนรับมอบตัว ต้อนรับประดุจบุคคลสำคัญ และจนถึงวันนี้ผ่านมา 3-4 เดือนแล้ว คดียังคาราคาซัง ไม่คืบหน้าไปถึงไหน
เช่นเดียวกัน เมื่อตอนม็อบเสื้อเหลือง ทหารแค่ถือโล่คุมเชิงม็อบพอเป็นพิธี แต่ถึงคิวของม็อบเสื้อแดง ทหารถือปืนเอ็ม 16 ขับรถหุ้มเกราะ ระดมอาวุธหนักครบมือ ตั้งแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง ลั่นกระสุนปืน เดินหน้าตาถมึงทึงเข้าหาผู้ชุมนุม
โดยมาตรฐานความเท่าเทียมทางกฎหมาย ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐบาล “อภิสิทธิ์ชน”
ทำให้คนเสื้อแดงสะกดคำว่า “สองมาตรฐาน” เป็น
แต่ทั้งหมดทั้งปวง โดยยุทธศาสตร์การจัดการที่ยังห่างชั้นกับม็อบเสื้อเหลืองที่มีระบบการควบคุมม็อบอย่างเป็นระบบ
สั่งซ้ายหัน ขวาหัน ได้แบบหุ่นยนต์
ในขณะที่คนเสื้อแดงแตกเป็นดาวกระจาย มาจากหลายสาย ไม่มีระบบการควบคุมกันเอง
ไร้ทิศทางการเคลื่อนไหว ยุทธศาสตร์เป้าหมายไม่เคลียร์
นั่นก็นำมาซึ่งจุดเปลี่ยนเกม เมื่อม็อบแท็กซี่ในเครือข่ายวิทยุชุมชนที่ไม่พอใจแกนนำ นปช.เดินเกมไม่ดุดันทันใจ ตัดสินใจนำทีมฮาร์ดคอร์ปิดถนนรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทำให้การจราจรในเมืองกรุงเป็นอัมพาต
ชาวบ้านเดือดร้อนรุมก่นด่า กระแสตีกลับ
ที่สำคัญโดยการเคลื่อนไหวที่ไร้ยุทธศาสตร์ ยิ่งง่ายต่อเกมแทรกของพวก “แดงปลอม” ในเครือข่ายพ่อมดเขมร ส่งทีมมาช่วยป่วนสถานการณ์
ล่อบาทาให้คนเสื้อแดง
ยังไม่นับความอ่อนหัดของคนระดับแกนนำเองแท้ๆ ที่คุมอารมณ์ ได้ไม่นิ่งพอ พลาดทะเลาะกับสื่อ เพราะไม่พอใจเสนอแต่ข่าวด้านลบ ขู่ไม่รับรองความปลอดภัย เล่นเอานักข่าวกระเจิง ไม่กล้าอยู่ในวงผู้ชุมนุม ทำให้พื้นที่ข่าวม็อบแดงหายไปโดยปริยาย
หลงเกมควักตาสื่อ ก่อนโดนรัฐบาลปิดประตูตีแมว
โดยเกมโรมรันพันตู ต้องสู้กับแนวร่วมสหบาทา อำมาตย์ พรรคประชาธิปัตย์ ทหาร ม็อบพันธมิตรฯเสื้อเหลือง ก๊วนเพื่อนเนวิน แม้ม็อบคนเสื้อแดงมีแนวร่วมแน่น มากด้วยปริมาณ แต่ขาดการจัดการ คุมม็อบหลายสายไม่ได้
จำเป็นต้องกลับมาปรับยุทธศาสตร์กันใหม่
และโดยหัวเชื้อไวไฟ รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.สถานการณ์ ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เสียงปังจากปลายกระบอกปืนของทหาร ตั้งแถวปราบประชาชนมือเปล่า
มวลชนเสื้อแดงรอแค่ปรับทัพ
ในเมื่อยังมีตัวเล่นทีมเอ ไล่ยี่ห้อตั้งแต่ “จาตุรนต์ ฉายแสง-สุธรรม แสงประทุม-ภูมิธรรม เวชชยชัย-พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ฯลฯ” ระดับ “มืออาชีพ” งานมวลชนตัวจริงเสียงจริง พร้อมจัดเกมรบให้เป็นระบบ
บนดินก็เร้าใจ แต่มุดลงใต้ดินยิ่งเร้าใจกว่า.
ทีมข่าวการเมือง รายงาน