เฮ้อ แม้รัฐบาลสั่งสลายการชุมนุมของ ที่ทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จ..... แต่ยังไม่ได้หมายความว่า วิกฤติการเมือง จะคลี่คลายตามไปด้วย.....“อินทรีเหล็ก” ยังห่วงอยู่ว่า การกดดันคนเสื้อแดง ในฐานะ ผู้ก่อจลาจลและศัตรูของชาติ ครั้งนี้.....วิกฤติการเมืองจะถึงจุดสูงสุดแปลงสภาพเป็นวิกฤติการเมืองอย่างถาวร ............
เบื้องหลังการยอมจำนนในการ สลายการชุมนุม ของกลุ่มคนเสื้อแดง หลังแกนนำหารือกันแล้วเห็นว่า ขืนดึงดันให้มีการเข้ามาสลายการชุมนุมบริเวณทำเนียบรัฐบาล....เกรงว่าเหตุการณ์ จะนองเลือด จนคุมไม่อยู่....แกนนำส่วนหนึ่งจึงตกลงที่จะยอมมอบตัวและสลายการชุมนุมไปก่อน............
ฟัง สุพร อัตถาวงศ์ แกนนำเสื้อแดง เปิดใจ จำเป็นต้อง รักษาชีวิตพี่น้องประชาชน เอาไว้ และ ประชาธิปไตย ไม่ได้จบสิ้นในวันนี้.....เดาใจคนเสื้อแดง การเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง จะยังคงเดินหน้าต่อไป จะด้วยรูปแบบไหนเท่านั้น............
“อินทรีเหล็ก” พูดอย่างตรงไปตรงมา การสลายชุมนุมของม็อบเสื้อแดงในครั้งนี้.....ไม่ว่าจะเป็นการ ใช้กำลังทหาร เข้าสลายการชุมนุมอย่างเข้มแข็ง การดำเนินคดี อย่างเด็ดขาด....แม้แต่ การเสนอข่าวของสื่อมวลชน ที่อยู่ภายใต้การควบคุม.....เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเมื่อครั้งมีการ ยึดทำเนียบปิดสนามบิน ของคนเสื้อเหลืองแล้ว.....ประเทศไทยจะแตกแยกอย่างยับเยิน............
สรุปได้ว่า การชุมนุมประท้วงที่ผ่านมา มีผู้ต้องหา ตามหมายศาลทั้งสิ้น จำนวน 14 คน รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่วีดิโอลิงค์เข้ามายังเวทีคนเสื้อแดง......การต่อสู้ทางการเมืองที่เปลี่ยนจาก ความขัดแย้งเป็นอุดมการณ์ จะฝังรากลึกไปอีกนาน............
และตัวเลขจากผู้บาดเจ็บที่เป็นทางการ จากถ้อยแถลงของ นพ.ชาตรี เจริญชีวะกุล เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ.....มีผู้บาดเจ็บทั้งสิ้น 123 ราย ต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 50 ราย.....อยู่ห้องไอซียู 2 ราย และ เสียชีวิต 2 ราย.....ผลลัพธ์ของการเรียกร้องประชาธิปไตยทุกครั้งไม่มีอะไรแตกต่าง............
นานาจิตตัง การสลายการชุมนุมพันธมิตร ที่ไปล้อมสภา โดยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ รัฐบาลขณะนั้นถูกประณามว่า ใช้ความรุนแรง มือเปื้อนเลือดและต้อง ตกเป็นผู้ต้องหา.....การสลายการชุมนุม นปช. โดยกำลังทหาร พร้อมอาวุธ.....รัฐบาล ใช้ความนุ่มนวล ในการเข้าสลายการชุมนุม ไม่มีการเสียเลือดเนื้อ .....สองมาตรฐาน ก็ยังเป็นสองมาตรฐานอยู่วันยังค่ำ............
สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะแดงแท้ แดงเทียม หรือ มือที่สาม ก็ตาม พูดไปก็ไม่มีใครฟัง.....ต่อไปนี้สถานะของคนเสื้อแดงจะเป็นอย่างไร “อินทรีเหล็ก” ไม่อยากจะคิด....ผู้ก่อการจลาจล ผู้ก่อวินาศกรรม ทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวายเสียหาย.....กลายเป็นผู้ร้ายของสังคมไปฉิบ............
ก็ยังไม่ทันไร กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก.....รัฐบาลไทยจะปรับลด การคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจ ที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลดลงแค่ร้อยละ 3 ลงต่ำกว่านั้น......อันเนื่องมาจาก การชุมนุมประท้วง ที่ผ่านมา.....รับเละ............
บ้านเราจะวิเคราะห์กันอย่างไร แต่สำนักข่าวต่างประเทศอย่าง เอเอฟพี วิเคราะห์เอาไว้ชนิดแทงใจดำ.....บทบาทของ กองทัพไทย ในฐานะผู้นำการบังคับใช้กฎหมาย ในการสลายการชุมนุมของพวกเสื้อแดง.....ได้ตอกย้ำบทบาทของเหล่านายพลในกองทัพว่า เป็นผู้กุมอำนาจ หรือผู้บงการตัวจริง............
บทวิเคราะห์ยังพูดถึงภาพรวมของ ศักยภาพกองทัพ ในภูมิภาคนี้ ไม่ว่าไทย อินโดนีเซีย หรือพม่า.....บรรดา ผู้ปกครองพลเรือน ต้องพึ่งกองทัพเพราะจะบอกถึงอนาคตได้ว่าจะอยู่หรือไป............
ฮัดเช้ย วิกฤติการเมืองยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่ประเทศไทย ในสายตาชาวโลก...ไม่ต่างอะไรจาก บ้านป่าเมืองเถื่อน เป็นแดนมิคสัญญี กลียุค แม้แต่ผู้นำยังถูกมองเป็นตัวตลก............
เพราะฉะนั้นนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อนาคตของประเทศ จะเป็นอย่างไรคงไม่ต้องพูดถึง......แค่ประคองไปให้รอด ไม่ล่มจมลงจนเหลือแต่ซาก ก็ถือว่าเป็นบุญของประเทศแล้ว............
“อินทรีเหล็ก” ได้แต่หวังว่า ในขณะที่มี โอกาสที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤติทางการเมือง ตามวิถีของประชาธิปไตย......นำเอาปัญหาเข้ามาหารือกันใน ระบอบรัฐสภา .....เพื่อให้เกิด ความปรองดอง อย่างที่ คนไทยส่วนใหญ่คาดหวังเอาไว้......วิกฤติ บ้านเมืองจะได้สะเด็ดน้ำซะที............
วิธีที่จะแก้ปัญหาโดยสันติวิธีมีหลายทาง อย่างที่ เสนาะ เทียนทอง เรียกร้องให้ ยุบสภา เพื่อให้ประชาชนตัดสิน......หรือลาออกโดยยึดหลักตั้ง รัฐบาลแห่งชาติ ขึ้นมาประสานรอยร้าว......อยู่ที่ว่ารัฐบาลจะตั้งอยู่บนผลประโยชน์ส่วนรวม หรือส่วนตัวเท่านั้น............
การยุบสภาหรือลาออก แม้จะไม่ใช่หนทางที่จะแก้ปัญหาวิกฤติการเมือง ได้ในทันที แต่ก็จะเป็นแนวทางที่จะหาทางออก โดยสันติวิธี ในระยะยาว......เพราะประเทศไทยไม่ใช่มีเฉพาะสีแดงหรือสีเหลือง ยังมีสีน้ำเงินและประชาชนที่ไม่เลือกข้างอีกด้วย......ภาระการ สร้างสมานฉันท์ ขึ้นมาในชาติจึงเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด............