กิจกรรมนี้เกิดขึ้นจากทีมนักแปลอาสาสมัครที่อยากให้สาธารณชนได้บริโภคข่าวสารอย่างรอบด้าน เนื่องเพราะเห็นว่าสื่อสารมวลชนของไทยมีปัญหาเรื่องการทำงานในสถานการณ์วิกฤตินี้ เราจึงเลือกแปลข่าวของสื่อต่างชาติที่ยังสามารถทำงานตามหลักการวิชาชีพได้ โดยไม่มีอคติต่อฝ่ายใด และไม่มีอำนาจรัฐมาครอบงำ |
ทีมแปลข่าวเฉพาะกิจ
ที่มา : แปลจาก “
http://www.ft.com/cms/s/0/26826500-2920-11de-bc5e-00144feabdc0.html
14 เมษายน 2552
นับตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 ที่กำจัดทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีประชานิยมออกไป ประเทศไทยได้ทำให้เกิดภาพที่ประจักษ์ได้ในทุกทางว่า กำลังยอมจำนนกับการปกครองโดยม็อบ ภาพประทับนี้ค่อนข้างจะโดดเด่นเมื่อมีการผลักดันนายกรัฐมนตรีหนุ่ม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ศิษย์เก่าโรงเรียนอีตันและอ็อกซ์ฟอร์ดขึ้นสู่อำนาจ
เหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังทำให้ภาพของประเทศดูล้าหลัง ด้อยประสิทธิภาพ เช่น การยกเลิกการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว โดยบรรดาผู้นำ เช่น นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ของจีน ต้องถูกพาอพยพหนี ขณะที่ผู้ประท้วงกลุ่ม “เสื้อแดง”ที่ภักดีกับทักษิณบุกรุกสถานที่ประชุมที่พัทยา
แน่นอน ก่อนหน้านั้นประเทศไทยก้าวผ่านวงจรของบรรดาผู้นำที่เป็นตัวแทนทักษิณซึ่งถูกขับไล่ออกไปโดยพวกรอยัลลิสต์ “กลุ่มเสื้อเหลือง” ที่ทำให้ประเทศและเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะชะงักงันภายใต้การผ่อนปรนของฝ่ายตำรวจและกองทัพ
รากของสภาวะไม่มั่นคงที่เรื้อรังนี้ คือความไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิงของชนชั้นปกครองไทยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมืองในเขตเลือกตั้งของทักษิณ
ประชาชนไทยที่พ้นมาจากวิกฤติการณ์การเงินของเอเซียตะวันออกเมื่อช่วงปี พ.ศ.2540-2541 เฝ้าคอยผู้นำที่เข้มแข็งแต่เป็นประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ต่างๆ ของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาได้คือทักษิณ นักธุรกิจที่ร่ำรวยและมีอิทธิพล กับถุงเงินมหาศาล เขาพูดถึงความต้องการของคนจนในชนบทที่อยู่กันหนาแน่นในภาคอีสานเป็นครั้งแรก เขายังได้ปฏิบัติอย่างเลวร้ายไร้ความปราณีกับสถาบันหลายแห่ง รวมทั้งธนาคารแห่งชาติ และศาล ใช้การปราบปรามควบคุมสถานการณ์ไม่สงบในภาคใต้ และใช้กลุ่มคนที่เป็นมือสังหารเพื่อจัดการกับผู้ค้ายาเสพติด แต่ไม่ใช่เพียงการใช้ประชานิยม-อำนาจเงินของทักษิณเท่านั้นที่สร้างความไม่พอใจให้กับชนชั้นนำในเมือง และหน่วยต่างๆ จากกองทัพ ข้าราชการ และศาล พวกเขาเพียงแต่ไม่อาจอดทนต่อการเปลี่ยนอำนาจไปอยู่ในมือของพวกจัณฑาลทางการเมือง
สิ่งนี้ปรากฎชัดเจนเมื่อการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนส่วนใหญ่ในภาคอีสาน ไม่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ มันคือการใช้กลโกงในการเอาชนะเลือกตั้งเพื่อป้องกันไม่ให้นักการเมืองหน้าใหม่ๆ จากชนบทได้เข้ามาสู่เวทีการเมืองส่วนกลาง การยุบพรรคไทยรักไทยของทักษิณ- ซึ่งเป็นพรรคเดียวที่เคยชนะเลือกตั้งอย่างเด็ดขาด- และการตัดสิทธิ์ทายาททางการเมืองของพรรคฯ เป็นการยืนยันถึงสิ่งนี้
ขณะที่ประเทศไทยแสดงให้ภายนอกเห็นว่ามีกองทัพที่เป็นหนึ่งเดียว ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชนั้น กลับเคยมีการทำรัฐประหาร 18 ครั้งภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เช่นเดียวกับสังคมอื่นที่ซับซ้อนและมีพลวัต มากกว่าร่มพระบรมโพธิสมภารแล้ว สถาบันอื่นๆ ที่ทันสมัยและเป็นปึกแผ่นก็จำเป็นสำหรับประเทศ
นายอภิสิทธิ์ผู้ขึ้นสู่อำนาจด้วยคะแนนสนับสนุนอันเป็นที่เคลือบแคลงของรัฐสภา สามารถพิสูจน์ตัวเองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยการยอมรับบทบาทและการมีอยู่ของผู้ร่วมเล่นการเมืองฝ่ายใหม่ๆ และทำให้สถาบันต่างๆ ให้ที่ทางกับคนเหล่านี้ และเขาควรแสวงหาอาณัติที่ชอบธรรมผ่านการเลือกตั้งครั้งใหม่