WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Saturday, July 11, 2009

สัมมนาเพื่อไทยที่เชียงใหม่ เน้นวิจารณ์รัฐบาลแก้เศรษฐกิจ

ที่มา ประชาไท

พรรคเพื่อไทยจัดสัมมนาระดับภาคที่เชียงใหม่ วิจารณ์นโยบายแก้เศรษฐกิจ โอฬารติงรัฐบาลควรเน้นจ้างงานมากกว่าแจกเช็คละลายเงิน แนะให้หารายได้เข้าประเทศ-เพิ่มสินเชื่อ-กระจายเงินลดรายจ่าย “สุชาติ ธาดาธำรงเวช” เผยผลงานรัฐบาล “กู้หนี้ ขึ้นภาษี ไล่บี้ทักษิณ” เผย “ทักษิณ” แนะมาร์คให้วางแผนหาเงิน-ปรับโครงสร้างหนี้-เมื่อ ศก.ฟื้นให้เฟ้นอุตสาหกรรมเด่นในโลกที่ไทยแข่งได้

เวลา 9.30 น. วานนี้ (10 ก.ค.) ที่โรงแรมพรพิงค์ทาวเวอร์ จ.เชียงใหม่ ได้มีการจัดประชุมสัมมนาพรรคเพื่อไทยภาคเหนือ ครั้งที่ 1 จ.เชียงใหม่ มีกรรมการบริหารพรรค ส.ส. สมาชิกพรรคและแกนนำเสื้อแดงในเชียงใหม่เข้าร่วม ทั้งนี้มีเครือญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้แก่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมครอบครัว คือ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นางสาวชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ บุตรสาว รวมถึงนายพายัพ ชินวัตร นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้อง พ.ต.ท.ทักษิณมาร่วมสังเกตการณ์
โอฬารติงรัฐบาลไปไม่ถูก จ่ายเช็คละลายแทนการสร้างงาน
เวลา 09.35 น.นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี บรรยายพิเศษหัวข้อ “เหลียวหลังแลหน้า จับชีพจรเศรษฐกิจไทย” ซึ่งการบรรยายมุ่งเน้นเปรียบเทียบการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทยกับประเทศอเมริกา จีนและเกาหลีใต้ที่ระบุว่ารัฐบาลไทยแก้ปัญหาไม่ถูกทาง ทุ่มเงินแจกโดยไม่มีการหมุนเวียนกระจายรายได้เช่นกับ 3 ประเทศดังกล่าว ซึ่งเขามุ่งเน้นให้เกิดการจ้างงานมากกว่าที่จะละลายเงินแจกเช็คช่วยชาติหัวละ 2,000 บาท
ปัญหาที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดคือตัวเลขการส่งออกสินค้าลดลง และรายได้จากการท่องเที่ยวที่ลดลงมากถึง 1.2 ล้านล้านบาท และขณะนี้ระบบธนาคารของประเทศไทยยังสามารถใช้เป็นช่องทางในการแก้ปัญหาได้ก็ควรจะนำมาใช้
นายโอฬาร กล่าวอีกว่า ตนอยากเสนอแนะไปถึงรัฐบาลว่าควรใช้ 3 นโยบายหลัก คือหารายได้เข้าประเทศให้ได้ประมาณ 5 แสนล้านบาท นำนโยบายด้านสินเชื่อและอัตราแลกเปลี่ยน ในไตรมาสสุดท้ายให้ได้ประมาณ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อให้ประชาชนในทุกระดับทั้งชาวนา นักธุรกิจ พนักงานโรงงานได้รับเงินคืนประมาณ 5 แสนล้านบาท และสุดท้ายกระจายเงินลดรายจ่าย สร้างรายได้ ของรัฐบาล 2 แสนล้านบาท ให้ลงไปในแต่ละท้องถิ่นกว่า 7 หมื่นหมู่บ้านๆ ละ 20 ล้านบาท ทั้งนี้สิ่งที่ตนพูดนั้นถือว่าเป็นการชี้ทางให้ขึ้นสวรรค์ ฉะนั้นรัฐบาลต้องนำไปวิเคราะห์ เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องและรวดเร็ว อย่ามัวแต่มะงุมมะงาหรา
“สุชาติ ธาดาธำรงเวช” ชี้รัฐบาลทำ 3 อย่าง “กู้หนี้ ขึ้นภาษี ไล่บี้ทักษิณ”
ต่อมาในเวลา 10.25 น.ได้มีเสวนาเรื่อง “ทางออกประเทศล้างหนี้สร้างรายได้ให้ประชาชน” โดยผู้ร่วมเสวนาได้แก่ ดร.สุชาติ ธาดาดำรงเวช อดีต รมว.คลัง ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ ในฐานะประธานกรรมาธิการการเงินการคลังวิปรัฐบาล นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ส.ส.เชียงใหม่
ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า ตัวเลขจีดีพีของไทยปีนี้ติดลบ 7.1 % อัตราการว่างงาน 4 % คิดเป็นประมาณ 1.2 ล้านคน ซึ่งจะก่อให้เกิด 2 ปัญหาใหญ่ คือ เงินเฟ้อติดลบซึ่งแปลว่าขายของจะขาดทุนหรือต้องดัมพ์ราคา (ลดราคาต่ำกว่าทุนเพื่อทุ่มตลาด) เพื่อให้ขายได้ ลดการจ้างงานซึ่งจะก่อให้เกิดภาวะเงินฝืดตามมา และที่รัฐบาลกล่าวอ้างว่าในไตรมาสที่ 4 จะดีขึ้นนั้นไม่ได้หมายความว่าคนจะกลับมามีงานมากขึ้น แต่เป็นเพราะไตรมาสก่อนหน้านี้ย่ำแย่จากการปิดสนามบินต่างหาก ซึ่งโดยสรุปแล้วปัญหาเกิดจากรัฐบาลแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ไม่มีทิศทาง รัฐบาลขาดวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาคนยากคนจน
สรุปแล้วรัฐบาลนี้ทำ 3 อย่างคือ กู้หนี้ ขึ้นภาษี ไล่บี้ทักษิณ ไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่ตั้งรายจ่ายนอก งบประมาณที่ 8 แสนล้านบาท ในปี 2551 ยอดหนี้คนไทยอยู่ที่ประมาณ 52,399 บาท/คน คาดว่าปี 2557 ยอดหนี้อยู่ที่ 100,892 บาท/คน ขณะที่สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ติดลบเป็นแสนล้าน ดอกเบี้ยเงินฝากเพียง 1% แต่ดอกเบี้ยเงินกู้สูง 6-7 % ปัญหาคือโครงการเอสเอ็มแอลถูกตัดไปหมด โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคถูกตัดงบฯไป 5 หมื่นล้าน
"พ.ต.ท.ทักษิณได้มอบข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมายังรัฐบาลชุดนี้คือต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีทิศทาง จากนั้นวางแผนหาเงินแล้วเริ่มปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งหลังจากภาวะเศรษฐกิจโลกฟื้นไปแล้วให้ไปศึกษาอุตสาหกรรมโลกว่าอุตสาหกรรมประเภทใดที่เป็นดาวเด่นและอุตสาหกรรมใดที่เราไปแข่งขันไม่ได้ "ดร.สุชาติ กล่าว
รอง หน.เพื่อไทยชี้รัฐบาลเมิน OTOP-SMEs
ด้าน ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในส่วนของ OTOP และ SMEs นั้นถือเป็นรายกลางและรายเล็กที่อยู่ปลายทางนั้นไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐบาล จากสถิติ OTOP ที่เป็นกลุ่มดาวรุ่งนั้นเดิมมีอยู่ถึง 7,300 รายที่ประสบความสำเร็จ บางส่วนมีการส่งออกไปต่างประเทศและยอดจำหน่ายระหว่างปี 2544-2547 ต่อเนื่องถึงปัจจุบันนั้นน่าจะมีถึงแสนกว่าล้าน แต่รัฐบาลกลับไม่ให้ความสำคัญเพราะเห็นเพียงว่าเป็นนโยบายฝ่ายตรงข้าม จึงขอวอนให้รัฐบาลเข้ามาส่งเสริม
สำหรับตัวเลขของหน่วยงานวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมระบุว่าตัวเลขการส่งออกปีนี้นั้นติดลบถึง 19% นำเข้าติดลบ 24% แล้วปี 2553 จะเป็นบวกได้อย่างไร นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าต้นปีธุรกิจ SMEs ปิดตัวลงประมาณเดือนละ 3,000 ราย ไตรมาสที่ 3 ปิดตัวลงเพิ่มเป็น 5,000 ราย และปัจจุบันตัวเลขจดทะเบียนนิติบุคคลก็ลดลงตามลำดับ
“รัฐบาลนี้ปรับลดงบฯส่งเสริม OTOP และ SMEs ทั้งในส่วนของงบฯเพิ่มเติมปี 52 งบประมาณปี 53 และโครงการไทยเข้มแข็งระยะที่ 1 จากงบประมาณ 2 ล้านล้านบาทกลับนำมาช่วย SMEs และ OTOP เพียง 582 ล้านบาทซึ่งคือเป็นเงิน 0.02 % ที่กู้มาให้คนไทยเป็นหนี้เท่านั้น ธนาคาร SMEs ได้รับการเพิ่มทุน 5,000 ล้านบาทแต่เวลาไปขอกู้แสนยากลำบาก จึงอดคิดไม่ได้ที่จะคิดว่านำไปอุ้มรายใหญ่มากกว่า”ดร.ปานปรีย์กล่าว
ปึ้งหวังผู้ประกอบการ OTOP ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เชื่อ Medical Hub ยังขายได้
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ กล่าวว่า ในส่วนของ OTOP นั้น ผู้ประกอบการน่าจะนำความคิดสร้างสรรค์เข้ามาช่วยให้มาก เช่นออกแบบนำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับกระแสแพนด้าน้อยที่กำลังมาแรงชูเป็นจุดขาย หรือในส่วนของโครงการ Medical Hub หรือทำประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์นั้น ปี 2550 ตัวเลขชาวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการรักษาพยาบาลในประเทศไทยมีถึง 1.4 ล้านคน คิดเป็นรายได้ 3.6 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ปี 2546 มีคนไข้ต่างประเทศเข้ามารักษาในไทย 9.7 แสนคน คิดเป็นมูลค่ารายได้ 2.4 หมื่นล้านบาท หากพ.ต.ท.ทักษิณไม่โดนปฏิวัติไล่ออกประเทศรายได้จะเข้าประเทศถึง 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเราไม่มั่นใจว่าหลังจากนี้ไปรัฐบาลชุดนี้จะทำได้หรือไม่ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก
เยาวภาระบุถวายฎีกาเป็นความต้องการของประชาชนเอง
ด้านนอกที่ประชุม นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวกับผู้สื่อข่าว กรณีที่ประชาชนมีการล่ารายชื่อถวายฎีกาให้ พ.ต.ท.ทักษิณได้กลับประเทศไทยนั้น ทางครอบครัวของเรามองว่าเป็นความต้องการของประชาชนทางเราไม่มีความคิดเห็น แต่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่วันนี้มีหลายคนตื่นตัว มองว่าเป็นเรื่องของน้ำใจที่เขาอาจประทับใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณทำงานในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ทางครอบครัวของเรารู้สึกประทับใจและขอขอบคุณทุกท่านที่มีน้ำใจ และอยากจะขออวยพรให้ พ.ต.ท.ทักษิณให้มีความสุข มีสุขภาพแข็งแรงมีกำลังใจที่เข้มแข็ง ซึ่งการมาประชุมพรรคครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งอยู่ที่ต่างประเทศเป็นห่วงเรื่อง OTOP และ SMEs รวมถึงกองทุนหมู่บ้านซึ่งเป็นการแก้ปัญหาให้ประชาชนไว้ค้างเก่า และได้ส่งคำแนะนำมาให้คำปรึกษาในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชนและยังส่งกำลังใจให้กับพวกที่อยู่ที่นี่ให้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต่อไป
โฆษกเพื่อไทยอัดประชาธิปัตย์เกาไม่ถูกที่คัน เพราะไม่ศึกษาปัญหา
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การเดินสายสัมมนาทั่วประเทศของพรรคเพื่อไทย เพื่อศึกษาปัญหาของประชาชนในแต่ละภาค นำไปทำเป็นนโยบายในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในเวลาอันใกล้นี้ โดยจะทำนโยบายเฉพาะแต่ละภาค เช่น ในภาคอีสานมีปัญหาเรื่องแหล่งน้ำ ก็จะเน้นทำนโยบายเพื่อแก้ปัญหาเรื่องน้ำ ซึ่งจะแก้ปัญหาได้ตรงจุดที่สุด
"เราไม่ทำเหมือนรัฐบาลปัจจุบัน เพราะไม่มีการศึกษาปัญหาให้ดี จึงแก้ไม่ตรงจุด หรือเกาไม่ถูกที่คัน อย่างไรก็ตาม เท่าที่เราได้ติดตามการทำงานของรัฐบาลนี้ ประเมินได้ว่ารัฐบาลจะอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน เพราะปัญหาต่างๆ ที่รัฐบาลแก้ไขไม่ได้ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ"
ส.ส.เลยฝันเลือกตั้งใหม่เพื่อไทยเกิน 300 ที่นั่ง
นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์กำลังพยายามยื้อให้อยู่เป็นรัฐบาลได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่จากการประเมินคาดว่ารัฐบาลจะอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน ด้วยปัจจัยปัญหาต่างๆ ที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งกับพรรคร่วมรัฐบาล กรณีการจัดสรรงบประมาณ ที่สำคัญคือปัญหาเศรษฐกิจที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้
"ขณะนี้ประชาชนเดือดร้อนมาก ราคาสินค้าเกษตรก็ตกต่ำ ที่สุดแล้วประชาชนก็จะลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน ทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ จึงเชื่อว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ในช้านี้ และเมื่อถึงตอนนั้นพรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะเกิน 300 ที่นั่งและได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง"
ที่มา: เรียบเรียงจากกรุงเทพธุรกิจ และคมชัดลึก