WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, July 9, 2009

ประชาธิปไตย.....ทางที่ต้องเดินไม่ใช่ทางที่จะเลือก

ที่มา thaifreenews

เขียนโดย ปูนนก
วันพฤหัสบดีที่ 09 กรกฏาคม 2009 เวลา 22:13 น.

alt
นับตั้งแต่ประเทศไทย ได้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เป็นต้นมา สถานการณ์ทางการเมืองการปกครองของประเทศได้พัฒนาตัวเองไปจนเกือบจะเข้าสู่ การต่อสู้ทางนโยบายที่จะนำผลสัมฤทธิ์ที่เป็นจริงไปสู่ประชาชนในประเทศ และจะเกิดการแข่งขันกันทางนโยบายของพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ซึ่งนั่นจะทำให้ประเทศชาติมีความเข็มแข็งในทางการปกครองและจะเกิดประโยชน์ สูงสุดแก่ประชาชนไทยทั้งมวล น่าเสียดายที่เกิดการเข้าแทรกแซงกล จักรประชาธิปไตยที่กำลังขับเคลื่อนไปได้ด้วยดีนี้ให้สะดุดหยุดลงด้วยการรัฐ ประหารเมื่อวันที่ 19 กันยาน 2549 ทำให้ระบบทั้งหมดพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ประเทศที่กำลังพัฒนาไปสู่ความรุ่งเรืองรุดหน้าเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียนกลับ ต้องล่มสลายลง และวิ่งตามประเทศเพื่อนบ้านอย่างน่าอับอาย...
อ่านต่อ และแสดงความคิดเห็น
สิ่ง ที่น่าสังเกตและควรค่าแก่การนำมาพิจารณาก็คือ การรัฐประหารที่เกิดขึ้นในท่ามกลางบรรยากาศของประเทศที่กำลังพัฒนาไปด้วยดี และคนส่วนใหญ่ของประเทศกำลังมีความสุขนั้น มันเกิดขึ้นและสำเร็จผลอย่างง่ายดายไร้การต่อต้านจากประชาชนและทุกองค์กรของ ชาติได้อย่างไร และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น... มีเรื่องหนึ่งที่บันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่น่าจะนำมาเทียบเคียงและเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ดังต่อไป นี้....เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2524 ได้เกิดการรัฐประหารที่ไม่สำเร็จ (เรียกว่ากบฏ) ขึ้น เรียกชื่อกันว่า “เมษาฮาวาย” กบฏในครั้งนั้นเกิดขึ้นโดยกลุ่ม จปร. 7 เป็นการใช้กองกำลังทหารเข้าร่วมมากที่สุดถึง 28 กองพัน แทบจะไม่มีเหลือทหารฝ่ายรัฐบาลเอาไว้เลย หัวหน้าผู้ก่อการก็คือ พล.อ เสริม ณ นคร ได้เคลื่อนกำลังเข้ายึดสถานที่ต่าง ๆ เอาไว้ได้จนหมดสิ้น เพียงแต่ไม่สามารถควบคุมตัว พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ (นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) ได้ และที่สำคัญคือปล่อยให้ พล.อ. เปรม สามารถอัญเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาไปถวายอารักขา ณ กองบัญชาการทัพภาค 2 ที่โคราชได้สำเร็จ (ไม่ว่าจะโดยเต็มใจหรือไม่ก็ตาม) แค่นี้คนไทยก็รู้แล้วว่าควรเข้าข้างใคร ทั้ง ๆ ที่การยึดอำนาจในครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของคนไทยในชาติเลย แม้แต่น้อย.... ในที่สุดฝ่ายที่ยึดอำนาจที่มีกำลังทหารมากกว่าก็กลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้กลาย เป็นกบฏ (ทั้ง ๆ ที่มีกองทัพหนุนหลังเต็มที่)....วันที่ 19 กันยายน 2549 เกิดรัฐประหารในลักษณะเดียวกันกับกบฏเมษาฮาวาย แต่มีลักษณะที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงคือ กองทหารที่ทำการยึดอำนาจเป็นกองกำลังส่วนน้อยที่มาจากกองทัพภาคที่ 1 ของ พล. อ. อนุพงศ์ เผ่าจินดา กับ กองทัพภาคที่ 3 ของ พล. อ. สะพรั่ง กัลยาณมิตร เท่านั้น แต่เมื่อทำการยึดอำนาจในขณะที่ท่านนายกทักษิณ ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ก็ได้เข้าเฝ้า (หรือควบคุมกลาย ๆ) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในพระราชวังสวนจิตรลดาในคืนนั้น...และด้วยเหตุนี้เองทำให้ประชาชน ไทยทั้งชาติจึงไม่ได้กระทำการต่อต้านใดๆ ทั้งๆ ที่รัฐบาลท่านนายกทักษิณ เป็นรัฐบาลที่มาจากประชาชนและทำประโยชน์ให้กับประชาชนซึ่งได้รับการสนับสนุน อย่างเต็มที่จากประชาชน.... เวลาผ่านไปเมื่อมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ผู้ยึดอำนาจเขียนขึ้น ประชาชนทั้งชาติก็ยังคงพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าประชาชนไทยไม่เห็นด้วยกับ การยึดอำนาจในครั้งนั้น โดยเลือกพรรคพลังประชาชนที่สืบสานเจตนารมณ์มาจากพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบลงไป ก่อนหน้า.... ความขัดแย้งในครั้งนี้แตกต่างจากการยึดอำนาจที่ ผ่านๆ มาอย่างสิ้นเชิง ในครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างพลังอำนาจที่เคยสามารถกำหนดและชี้เป็น ชี้ตายให้ใครแพ้ใครชนะก็ได้ ในการครอบครองอำนาจการปกครองของประเทศนี้ กับพลังอำนาจของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง ที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดบทบาทชะตากรรมของชีวิตพวกเขาด้วยตน เอง... ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาหลังจากการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา ประเทศไทยจึงไม่เคยมีความสงบเลยแม้แต่น้อย ไ่ม่ว่ารัฐบาลหรืออำนาจกองทัพ หรือผู้มีอิทธิพลในประเทศนี้จะพยายามชักจูง ชี้นำ และผลักดันให้ประชาชนยอมรับต่อชะตากรรมที่เกิดขึ้นมาอย่างไรก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์มิได้สงบราบเรียบลงเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศเวลานี้ เมื่อฝ่ายผู้มีอำนาจบารมียิ่งพยายามแก้ไขตามวิธีของตนเองมากเท่าใดก็ยิ่ง ยุ่งวุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น เหมือน “ลิงแก้แห” แก้ไขเรื่องโน้น ก็มีเรื่องนี้เกิดขึ้น แก้ไขเรื่องนี้ยังไม่ทันเสร็จก็มีอีกเรื่องวุ่นวายตามมา สถานการณ์เหมือนลูกโป่งที่มีน้ำอยู่ภายใน บีบอย่างไรน้ำในลูกโป่งก็จะล้นทะลักออกไปอีกด้านหนึ่งเสมอ ภายในระยะเวลา 3 ปีมานี้ประชาชนไทยโดยเฉพาะตามต่างจังหวัดเริ่มรู้ตัวแล้วว่า เขาถูกใครหลอกลวงมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี...ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง และต้องการให้ได้มาก็คือ ประชาธิปไตย ที่อำนาจบริหารมาจากการกำหนดของพวกเขาเอง ไม่ใช่จากใครคนใดคนหนึ่งที่จะเป็นผู้มากำหนดให้แล้วบอกว่า “ดีแล้วให้ทำอย่างนี้” ประชาชนไทยพวกเขา “คิดเป็น” เขามองเห็น และพวกเขา “เข้าใจ” ดีว่าสิ่งใดดีที่สุดสำหรับชีวิตของพวกเขา การ ถวายฎีกาขอความเป็นธรรมให้กับท่านนายกทักษิณโดยประชาชนไทยไม่น้อยกว่า 1 ล้านรายชื่อ และการการออกหมายเรียกรับทราบข้อกล่าวหาผู้ก่อการร้ายสากลที่เจ้าหน้าที่ ตำรวจได้ดำเนินการนั้น เป็นกระบวนการที่เหมือนเผือกร้อนอันสำคัญยิ่ง ที่จะนำให้ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในประเทศนี้ผู้ซึ่งเคยมีบทบาท “ชี้เป็นชี้ตาย” ให้กับการเมืองการปกครองของประเทศ ได้กลับมาทบทวนและพิจารณาอย่างจริงจังเสียทีว่า “ประชาธิปไตยนั้น.....เป็นทางที่ต้องเดินไม่ใช่ทางที่จะเลือก” จงเดินไปบนทางสายนี้เสียก่อนที่จะสายเกินไป “เราเตือนท่านแล้ว”