ที่มา thaifreenews
เขียนโดย ปูนนก |
วันพฤหัสบดีที่ 09 กรกฏาคม 2009 เวลา 22:13 น. |
นับตั้งแต่ประเทศไทย ได้ใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เป็นต้นมา สถานการณ์ทางการเมืองการปกครองของประเทศได้พัฒนาตัวเองไปจนเกือบจะเข้าสู่ การต่อสู้ทางนโยบายที่จะนำผลสัมฤทธิ์ที่เป็นจริงไปสู่ประชาชนในประเทศ และจะเกิดการแข่งขันกันทางนโยบายของพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค ซึ่งนั่นจะทำให้ประเทศชาติมีความเข็มแข็งในทางการปกครองและจะเกิดประโยชน์ สูงสุดแก่ประชาชนไทยทั้งมวล น่าเสียดายที่เกิดการเข้าแทรกแซงกล จักรประชาธิปไตยที่กำลังขับเคลื่อนไปได้ด้วยดีนี้ให้สะดุดหยุดลงด้วยการรัฐ ประหารเมื่อวันที่ 19 กันยาน 2549 ทำให้ระบบทั้งหมดพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง ประเทศที่กำลังพัฒนาไปสู่ความรุ่งเรืองรุดหน้าเป็นอันดับหนึ่งในอาเซียนกลับ ต้องล่มสลายลง และวิ่งตามประเทศเพื่อนบ้านอย่างน่าอับอาย...
อ่านต่อ และแสดงความคิดเห็น
สิ่ง ที่น่าสังเกตและควรค่าแก่การนำมาพิจารณาก็คือ การรัฐประหารที่เกิดขึ้นในท่ามกลางบรรยากาศของประเทศที่กำลังพัฒนาไปด้วยดี และคนส่วนใหญ่ของประเทศกำลังมีความสุขนั้น มันเกิดขึ้นและสำเร็จผลอย่างง่ายดายไร้การต่อต้านจากประชาชนและทุกองค์กรของ ชาติได้อย่างไร และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น... มีเรื่องหนึ่งที่บันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่น่าจะนำมาเทียบเคียงและเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ดังต่อไป นี้....เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2524 ได้เกิดการรัฐประหารที่ไม่สำเร็จ (เรียกว่ากบฏ) ขึ้น เรียกชื่อกันว่า “เมษาฮาวาย” กบฏในครั้งนั้นเกิดขึ้นโดยกลุ่ม จปร. 7 เป็นการใช้กองกำลังทหารเข้าร่วมมากที่สุดถึง 28 กองพัน แทบจะไม่มีเหลือทหารฝ่ายรัฐบาลเอาไว้เลย หัวหน้าผู้ก่อการก็คือ พล.อ เสริม ณ นคร ได้เคลื่อนกำลังเข้ายึดสถานที่ต่าง ๆ เอาไว้ได้จนหมดสิ้น เพียงแต่ไม่สามารถควบคุมตัว พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ (นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น) ได้ และที่สำคัญคือปล่อยให้ พล.อ. เปรม สามารถอัญเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระบรมราชินีนาถและสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาไปถวายอารักขา ณ กองบัญชาการทัพภาค 2 ที่โคราชได้สำเร็จ (ไม่ว่าจะโดยเต็มใจหรือไม่ก็ตาม) แค่นี้คนไทยก็รู้แล้วว่าควรเข้าข้างใคร ทั้ง ๆ ที่การยึดอำนาจในครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ของคนไทยในชาติเลย แม้แต่น้อย.... ในที่สุดฝ่ายที่ยึดอำนาจที่มีกำลังทหารมากกว่าก็กลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้กลาย เป็นกบฏ (ทั้ง ๆ ที่มีกองทัพหนุนหลังเต็มที่)....วันที่ 19 กันยายน 2549 เกิดรัฐประหารในลักษณะเดียวกันกับกบฏเมษาฮาวาย แต่มีลักษณะที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงคือ กองทหารที่ทำการยึดอำนาจเป็นกองกำลังส่วนน้อยที่มาจากกองทัพภาคที่ 1 ของ พล. อ. อนุพงศ์ เผ่าจินดา กับ กองทัพภาคที่ 3 ของ พล. อ. สะพรั่ง กัลยาณมิตร เท่านั้น แต่เมื่อทำการยึดอำนาจในขณะที่ท่านนายกทักษิณ ไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ก็ได้เข้าเฝ้า (หรือควบคุมกลาย ๆ) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในพระราชวังสวนจิตรลดาในคืนนั้น...และด้วยเหตุนี้เองทำให้ประชาชน ไทยทั้งชาติจึงไม่ได้กระทำการต่อต้านใดๆ ทั้งๆ ที่รัฐบาลท่านนายกทักษิณ เป็นรัฐบาลที่มาจากประชาชนและทำประโยชน์ให้กับประชาชนซึ่งได้รับการสนับสนุน อย่างเต็มที่จากประชาชน.... เวลาผ่านไปเมื่อมีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ผู้ยึดอำนาจเขียนขึ้น ประชาชนทั้งชาติก็ยังคงพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าประชาชนไทยไม่เห็นด้วยกับ การยึดอำนาจในครั้งนั้น โดยเลือกพรรคพลังประชาชนที่สืบสานเจตนารมณ์มาจากพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบลงไป ก่อนหน้า.... ความขัดแย้งในครั้งนี้แตกต่างจากการยึดอำนาจที่ ผ่านๆ มาอย่างสิ้นเชิง ในครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างพลังอำนาจที่เคยสามารถกำหนดและชี้เป็น ชี้ตายให้ใครแพ้ใครชนะก็ได้ ในการครอบครองอำนาจการปกครองของประเทศนี้ กับพลังอำนาจของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง ที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดบทบาทชะตากรรมของชีวิตพวกเขาด้วยตน เอง... ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาหลังจากการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา ประเทศไทยจึงไม่เคยมีความสงบเลยแม้แต่น้อย ไ่ม่ว่ารัฐบาลหรืออำนาจกองทัพ หรือผู้มีอิทธิพลในประเทศนี้จะพยายามชักจูง ชี้นำ และผลักดันให้ประชาชนยอมรับต่อชะตากรรมที่เกิดขึ้นมาอย่างไรก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์มิได้สงบราบเรียบลงเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต สถานการณ์ทางการเมืองของประเทศเวลานี้ เมื่อฝ่ายผู้มีอำนาจบารมียิ่งพยายามแก้ไขตามวิธีของตนเองมากเท่าใดก็ยิ่ง ยุ่งวุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น เหมือน “ลิงแก้แห” แก้ไขเรื่องโน้น ก็มีเรื่องนี้เกิดขึ้น แก้ไขเรื่องนี้ยังไม่ทันเสร็จก็มีอีกเรื่องวุ่นวายตามมา สถานการณ์เหมือนลูกโป่งที่มีน้ำอยู่ภายใน บีบอย่างไรน้ำในลูกโป่งก็จะล้นทะลักออกไปอีกด้านหนึ่งเสมอ ภายในระยะเวลา 3 ปีมานี้ประชาชนไทยโดยเฉพาะตามต่างจังหวัดเริ่มรู้ตัวแล้วว่า เขาถูกใครหลอกลวงมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี...ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง และต้องการให้ได้มาก็คือ ประชาธิปไตย ที่อำนาจบริหารมาจากการกำหนดของพวกเขาเอง ไม่ใช่จากใครคนใดคนหนึ่งที่จะเป็นผู้มากำหนดให้แล้วบอกว่า “ดีแล้วให้ทำอย่างนี้” ประชาชนไทยพวกเขา “คิดเป็น” เขามองเห็น และพวกเขา “เข้าใจ” ดีว่าสิ่งใดดีที่สุดสำหรับชีวิตของพวกเขา การ ถวายฎีกาขอความเป็นธรรมให้กับท่านนายกทักษิณโดยประชาชนไทยไม่น้อยกว่า 1 ล้านรายชื่อ และการการออกหมายเรียกรับทราบข้อกล่าวหาผู้ก่อการร้ายสากลที่เจ้าหน้าที่ ตำรวจได้ดำเนินการนั้น เป็นกระบวนการที่เหมือนเผือกร้อนอันสำคัญยิ่ง ที่จะนำให้ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในประเทศนี้ผู้ซึ่งเคยมีบทบาท “ชี้เป็นชี้ตาย” ให้กับการเมืองการปกครองของประเทศ ได้กลับมาทบทวนและพิจารณาอย่างจริงจังเสียทีว่า “ประชาธิปไตยนั้น.....เป็นทางที่ต้องเดินไม่ใช่ทางที่จะเลือก” จงเดินไปบนทางสายนี้เสียก่อนที่จะสายเกินไป “เราเตือนท่านแล้ว”