ที่มา บางกอกทูเดย์
ในการประลองยุทธ์ หากต้องการเป็นผู้ชนะแล้วไซร้ แม้จะเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หรือสถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนไปรวมไปจนกระทั่งฤดูกาลที่ผันแปรเหล่านี้ล้วนสามารถมีผลต่อการแพ้-ชนะได้ทั้งสิ้นจอมยุทธ์ที่หลงทะนงในกำลังฝีมือ คิดว่าพลังภายในขึ้นถึงขีดสุดแล้ว ในยามที่ละเลยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็จะพลิกจากชนะให้กลายเป็นแพ้ได้ในชั่วพริบตาเฉกเช่นเดียวกับการประลองกำลังภายในทางการเมืองแม้จะอยู่ร่วมรัฐนาวาเดียวกันก็ใช่ว่าจะไม่ต้องระวังหลัง หรือจะจริงใจต่อกันปานประหนึ่งพี่น้องร่วมสาบานที่กอดกันกลมเสียเมื่อไหร่ผลประโยชน์ทางการเมืองนั้นสำคัญที่สุดนี่คือบทเรียนบทแรกที่บรรดาผู้เลือกที่จะเดินบนถนนการเมืองจะต้องตระหนักฉะนั้น ในยามที่สัญญาณการเลือกตั้งส่อเค้าทะมึนมาแต่ไกลผลแพ้-ชนะในการเลือกตั้งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร!!!…ผู้ที่ชนะเท่านั้นจึงจะมีอำนาจในการต่อรองนี่คือความจริงบนถนนการเมืองที่ยากจะแปรเปลี่ยนดังนั้น นักการเมืองจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้จำนวน ส.ส. เอามาไว้ในมือให้ได้มากที่สุดทั้งหมดก็เพื่อต้องการใช้ในการต่อรองทางการเมืองด้วยเหตุนี้เอง ณ วันนี้ แรงกระเพื่อมทางการเมืองที่เกิดขึ้นกับรัฐนาวา “อภิสิทธิ์” แม้ภายนอกจะดูว่าเป็นแค่คลื่นลมธรรมดาแต่สำหรับปรมาจารย์ทางการเมืองทั้งหลายแล้ว คลื่นลมครั้งนี้ปั่นป่วนลึกซึ้งยิ่งศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก!!!จึงไม่แปลกที่เมื่อขุนพลผู้แกล้วกล้าที่อาสาจะพิชิตเก้าอี้ส.ส.ภาคอีสาน มาอยู่ในกำมือให้หมด เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หมดฤทธิ์หมดเดชสิ้นซากไปจากใจม คนอีสานกลับกลายเป็นขุนศึกที่นำทัพไปพบกับความปราชัย...ไม่เพียง
น้ำหนักของขุนพลผู้มากบารมีจะกระทบกระเทือนเท่านั้นกำลังใจของผู้นำรัฐนาวาก็พลอยสั่นสะเทือนไปด้วยทำให้จึงต้องมีการพบปะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งเพื่อไต่ถามถึงเหตุแห่งความพ่ายแพ้ และเพื่อการเจรจาต่อรองใหม่ก็ในเมื่อสถานการณ์พลิกแล้ว จะยังมาใช้ “ข้อตกลงเดิม”กันอยู่ได้อย่างไรนี่คือเบื้องหลังที่มาของการที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขอนัดกินข้าวมื้อเที่ยงด่วนกับ นายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน ที่บ้านพิษณุโลก...ส่วนว่าเมื่อเจอกันในครั้งนี้จะมีการโผเข้ากอดกันกลม ยิ้มหน้าบาน เหมือนเมื่อครั้งเหตุการณ์พลิกขั้วการเมืองหรือไม่นั้น...แม้ไม่มีหลักฐานยืนยันแต่สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เชื่อว่าแม้แต่อ้อมกอดและรอยยิ้มก็ย่อมต้องเปลี่ยนไประดับมือการเมืองอย่างนายเนวินมีหรือจะไม่รู้ว่า จุดมุ่งหมายของการนัดของนายอภิสิทธิ์คืออะไรกันแน่???
การพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้ง เอาเข้าจริงๆ แล้วแม้จะบั่นทอนน้ำหนักของพรรคภูมิใจไทยและกลุ่มเพื่อนเนวินลงมาไม่น้อยแต่ก็แค่ 30-40% เท่านั้นที่เครดิตถูกบั่นทอนตัวที่ดิสเครดิตและทำลายภาพลักษณ์ของพรรคภูมิใจไทยและกลุ่มเพื่อนเนวินอย่างหมดรูปก็คือ เรื่องของ “โครงการฉาว”ต่างๆ นั่นเองก็ขนาดที่ สวนดุสิตโพล ออกมาเปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ใน 42 จังหวัด ว่า มองความขัดแย้งในรัฐบาลผสมชุดนี้ ณ วันนี้อย่างไร ประชาชนส่วนใหญ่ถึง 38.32% เห็นว่า ผลประโยชน์ไม่ลงตัวย่อมขัดแย้งแถมอีก 30.72% เห็นว่า เป็นการรวมตัวกันเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ขัดแย้งกันในขณะที่อีก 15.50% เห็นว่า การมุ่งผลประโยชน์ โดยเฉพาะฐานเสียงและประชานิยมที่เลือกตั้งครั้งต่อไปทำให้ขัดแย้งกันแสบสันต์ไปถึงทรวง ก็คือมุมมองของประชาชนที่บอกว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในรัฐบาล เป็นผลมาจากเรื่องของผลประโยชน์จากโครงการหรืองานของกระทรวงที่ได้รับมอบหมาย
ในแต่ละพรรคมากถึง 35.34%แต่ที่สะเทือนพรรคภูมิใจไทยและกลุ่มเพื่อนเนวินมากที่สุดก็คือกว่า 41.32% มองว่า โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน
ทำให้เกิดความขัดแย้งในรัฐบาลผสมชุดนี้แถมโครงการถนนปลอดฝุ่นก็ติดอยู่ในโพลอีกด้วยกระทรวงคมนาคมของ นายโสภณ ซารัมย์ ในฐานะรัฐมนตรี
ว่าการ รับไปเต็มๆ5.28 และ 0.70% เห็นว่า โครงการหรืองานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น หวยออนไลน์ทางออกในสายตาประชาชนก็คือ แต่ละพรรคร่วมรัฐบาลต้องคอยควบคุมสมาชิกในพรรคให้ทำงานอย่างโปร่งใสไม่ขัดแย้งกันภายในพรรค ลดการต่อรองอย่ามุ่งประโยชน์ของพรรคการเมืองจนลืมภาพรวมของ
รัฐบาลทำได้หรือไม่ได้ไม่รู้ แต่ถ้าภาษาบอลก็ต้องบอกว่า “ลูกเข้าเท้า”ซึ่งเป็นหมากถนัดของพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว ในการพลิกเกมหนีจากการถูกพรรคร่วมรัฐบาลขี่คอนายอภิสิทธิ์ก็เลยเปิดอกพูดกับนายเนวิน เรื่องโครงการรถเมล์ 4,000 คัน
เพราะหลักศาสนาพุทธสอนมาแต่อ้อนแต่ออก จะดับทุกข์ต้องดับที่ต้นเหตุแห่งทุกข์เมื่อโครงการเช่ารถเมล์ 4,000 คัน คือ ต้นเหตุแห่งความมัวหมองของภาพลักษณ์รัฐบาล ก็ต้องดับที่โครงการเช่ารถเมล์4,000 คันที่สำคัญ น้ำหนักในการคุยกันมื้อเที่ยงวันนั้น นายอภิสิทธิ์เป็นต่อนายเนวินหลายขุมจึงเป็นที่มาของคำว่า“ผมเข้าใจ”...หลุดออกมาจากปากของนายเนวินในวันนั้นหลังจากที่นายอภิสิทธิ์เปิดประเด็นตรงๆ ว่า โครงการนี้ไม่สามารถให้ผ่านคณะรัฐมนตรีไปได้ และขอให้เข้าใจความรู้สึกของประชาชนด้วยส่วนโครงการอื่นๆ ที่จะพิจารณากันต่อไป หากมีปัญหาก็จะให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นตัวแทนประสานกลืนเลือดหรือไม่กลืนเลือดไม่มีใครรู้
แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ เมื่อสถานการณ์ตกเป็นรอง คนที่รู้ลู่ทางลมการเมืองเป็นอย่างดีเช่นนายเนวินย่อมต้องเข้าใจและรับมือได้คำพูดจึงยังหยดย้อย
“เราต้องทำงานร่วมกันอีกนาน ผมไม่ได้รู้สึกอะไรที่ไม่ดีอยู่แล้ว”หวานซะไม่มี...นายอภิสิทธิ์ก็เลยเคลิ้มและชดเชยความปวดร้าวในใจให้นายเนวินและพรรคภูมิใจไทย ด้วยการตกปากรับคำไปเยือน“บุรีรัมย์” เป็นแห่งแรกในการลงพื้นที่อีสาน จนทำให้นายสุทัศน์ เงินหมื่น ต้องออกมาเตือน เพราะเป็นห่วงภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์จนกลายเป็นเรื่องครึกโครมนั่นแหละแต่ทั้งๆ ที่หัวหน้ากับหัวหน้าเจรจากันจบอย่างราบรื่นแล้วโดยเฉพาะเรื่องโครงการเช่ารถเมล์ 4,000 คันกลับกลายเป็นว่า ในกลุ่มเพื่อนเนวินกลับจงใจฉีกหน้าหัวหน้ากลุ่มดื้อๆ เสียอย่างนั้นแหละ
ระดับ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ยังไม่เท่าไหร่ อย่างน้อยยังพูดแค่ว่า “คาดว่าจะไม่มีปัญหา”เพราะขณะนี้คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทำการศึกษาว่าจะเป็นการฟื้นฟูโดยวิธีเช่าหรือวิธีซื้อ ตามที่ได้มีการขอขยาย
เวลาออกไปอีก 1 เดือนแต่ นายโสภณ ซารัมย์ นี่สิ โวยลั่นว่า “หากไม่ดำเนินการโครงการนี้ ผมจะเสียหน้า”เล่นเอาหลายคนที่สนิทชิดเชื้อกับนายเนวิน อดตั้งคำถามไม่ได้เหมือนกันว่าแล้วนายโสภณทำแบบนี้ ไม่ได้กลัวนายเนวินเสียหน้าบ้างหรือ???แล้วตกลงในเวลานี้ ใครกันแน่ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน
ที่แท้จริง???“ผมไม่ทราบเรื่องมาก่อนเรื่องการกินข้าวเที่ยง เพราะนายกรัฐมนตรีและคุณเนวินก็ไม่ได้ชวน ส่วนกรณีนายกรัฐมนตรีขอร้องคุณเนวินให้ระงับโครงการรถเมล์เอ็นจีวี4,000 คัน และคุณเนวินรับปากแสดงความเข้าใจนั้น ผมก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่คงไม่ยอมให้ล้มโครงการแน่”“เรื่องนี้คงไม่ต้องคุยกับคุณเนวิน”...กินดีหมีหัวใจเสือมาแน่นายโสภณจึงซัดซะขนาดนี้
แต่หลายๆ คนมองไปว่า การที่นายโสภณกล้าแสดงออกแบบไม่เกรงใจสิ่งที่นายเนวินได้พูดไปแล้วกับนายอภิสิทธิ์ ที่บ้านพิษณุโลกนั้นน่าจะเป็นเพราะว่า นายโสภณเห็นว่ากระทรวงคมนาคมมีภารกิจสำคัญ ดูแลโครงการหมื่นล้านแสนล้านเป็นจำนวนมากไม่ใช่แค่โครงการเช่ารถเมล์ฝังเพชร 4,000 คัน แต่ยังมี
โครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิอีกเป็นแสนล้านบาท หรือล่าสุด เรื่องโครงการปรับปรุงการขนส่งระบบราง ซึ่งเป็นอภิมหาโปรเจกต์อีก 200,000 กว่าล้านบาทเช่นกันฉะนั้น ภาระหนักขนาดนี้ จะให้คนชื่อ “นายโสภณ ซารัมย์”เสียหน้าได้อย่างไร???งานนี้ไม่รู้เหมือนกันว่านายเนวินจะรู้สึกอย่างไร และเห็นอก
เห็นใจกับการเสียหน้าของนายโสภณขนาดไหนแต่ที่แน่ๆ ประชาชนคนไทย โดยเฉพาะคนในกรุงเทพฯมีความรู้สึกตรงกันว่าให้นายโสภณเสียหน้า...ยังดีกว่าประเทศเสียท่าไปมากถึง50,000-60,000 ล้านบาท
อย่างที่หลายๆ คนกำลังพยายามกันอย่างเต็มที่ก็คงต้องดูว่า สิ่งที่นายอภิสิทธิ์พูดในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นการออกอากาศครั้งที่ 25ว่า รัฐบาลได้ขยายเวลาให้สภาพัฒน์ศึกษาเพิ่มอีก 30 วัน ก่อนที่จะสรุปว่าควรจะดำเนินการในรูปแบบใดนั้น“อยากจะย้ำครับว่า การตัดสินใจของรัฐบาลในเรื่องนี้ยืนยันครับว่าจะเป็นไปอย่างโปร่งใส”งานนี้เดิมพันการเมืองสูงลิ่วจริงๆ ■