ที่มา ประชาไท
ตอนนี้เราเห็นชัดว่าฝ่ายอำมาตย์ไม่สนใจ “ปรองดอง” อะไรทั้งสิ้น มีแต่การเปิดศึกเรื่องน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังข่มหรือล้มรัฐบาล แต่ในขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยยังเดินหน้าพยายามจับมือกับอำมาตย์ และแกนนำ นปช. คอยคุม สลาย หรือแช่แข็งการเคลื่อนไหวและศักยภาพของเสื้อแดงด้วยข้อแก้ตัวว่า “ต้องรอให้พ้นวิกฤตน้ำท่วมก่อน” แต่วิกฤตน้ำท่วมจะไม่จบเร็วๆ และที่สำคัญกว่านั้น จะกลายเป็นเงื่อนไขในการทำลายรัฐบาลอีกด้วย
วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากแผนร้ายของอำมาตย์แต่อย่างใด อย่าไปให้เกียรติประเมินความสามารถของพวกนี้มากเกินไป และอย่าไปหลงเชื่อข่าวลือที่จะทำให้เรากลัวจนหมดปัญญาที่จะสู้และล้มอำมาตย์ วิกฤตน้ำท่วมมันเกิดจากการที่ฝนตกหนักเป็นพิเศษปีนี้ อย่างที่เคยเกิดในปี ๒๔๘๕ และการที่รัฐไทยไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารน้ำมานาน ตั้งแต่ก่อนรัฐบาลชุดนี้ด้วย นอกจากนี้อำมาตย์ที่ครองบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง ไม่ยอมใช้รัฐในการนำร่องลงทุนเพื่อสร้างคลองระบายน้ำในภาวะฉุกเฉินทั้งๆ ที่กรุงเทพฯ อยุธยาและปทุมธานีเป็นที่ลุ่มของแม่น้ำเจ้าพระยา เราต้องเข้าใจว่าการคิดใหม่เพื่อสร้างโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ พึ่งเริ่มอย่างจริงจังภายใต้รัฐบาลไทยรักไทย และก็ถูกฝ่ายอำมาตย์โจมตีเสมอ
ประเด็นการเมืองที่เข้ามาแทรกวิกฤตน้ำท่วมคือ เจ้าหน้าที่เสื้อเหลืองและทหาร จงใจไม่ร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ปัญหาภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากน้ำ อันนี้ทำให้เรารู้อย่างชัดเจนว่าการชนะการเลือกตั้งและการตั้งรัฐบาล ไม่ได้แปลว่าพรรคเพื่อไทยคุมอำนาจรัฐแต่อย่างใด นอกจากการไม่ร่วมมือกับรัฐบาลแล้ว ฝ่ายพรรคพวกของอำมาตย์คือ สลิ่ม ทหาร และประชาธิปัตย์ ฉวยโอกาสในการโจมตีรัฐบาลอย่างหนักว่าไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ทั้งๆ ที่รัฐบาลพยายามทำเต็มที่ในสถานการณ์ที่รับมรดกตกทอดมาจากรัฐบาลอื่นๆ ในอดีต
การที่นายกยิ่งลักษณ์สามารถมีอารมณ์ร่วมกับประชาชนจนร้องไห้ เป็นจุดแข็งจุดเด่น เพราะเราสามารถเปรียบเทียบประเด็นนี้กับนายอภิสิทธิ์และนายประยุทธ์ที่มี ส่วนในการสั่งฆ่าเสื้อแดงอย่างเลือดเย็นได้โดยไม่รู้สึกอะไร
จะเห็นว่าอำมาตย์ไม่เคยหยุดเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและเสื้อ แดงเลย และทั้งๆ ที่ทหารอ้างโกหกว่า “แค่ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น” แต่มีการคุยกันในหมู่ทหารระดับสูงเรื่องการโจมตีรัฐบาล ข้อสรุปสำคัญคือ การเอาใจอำมาตย์ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ชนะการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะด้วยการจับมือกับนายประยุทธ์ ใช้กฏหมาย 112 หนักขึ้น หรือนิ่งเฉยเรื่องนักโทษและคนตาย มีผลด้านเดียวคือ ให้กำลังใจกับอำมาตย์ว่ารัฐบาลนี้อ่อนแอและไม่กล้า ฝ่ายเขาจึงกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ
แต่รัฐบาลนี้ไม่ได้อ่อนแอถ้ารู้จักทำแนวร่วมกับมวลชนเสื้อแดงที่ทำให้ รัฐบาลนี้ชนะการเลือกตั้งแต่แรก ถ้ารัฐบาลเปลี่ยนนโยบาย และหันมาให้ความสำคัญกับประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นเสื้อแดง รัฐบาลจะมีพลังมหาศาลหนุนหลัง แต่นั้นแปลว่ารัฐบาลต้องไม่สั่งให้เสื้อแดงนิ่งเฉย มันแปลว่ารัฐบาลต้องปลดนายประยุทธ์และทหารมือเปื้อนเลือดอย่างเร่งด่วน เพื่อนำคนที่สั่งฆ่าประชาชนมาขึ้นศาล โดยมีการปฏิรูประบบศาลด้วย มันแปลว่ารัฐบาลต้องออกกฏหมายฉุกเฉินเพื่อปล่อยนักโทษการเมือง และต้องยุติการใช้กฏหมาย 112 เพื่อให้มีการปฏิรูปกฏหมายและรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะนิติราษฏร์ และที่สำคัญไม่น้อยกว่าเรื่องอื่นคือรัฐบาลต้องรีบประกาศโครงการยักษ์ใหญ่ สำหรับการฟื้นฟูชีวิตและสร้างงานให้กับพลเมืองจำนวนมากหลังน้ำลง โดยที่ต้องใช้เงินจากการเก็บภาษีจากคนรวยและการตัดงบประมาณทหารและพิธีกรรม สิ่งเหล่านี้จะทำให้รัฐบาลครองใจประชาชนอย่างเน่นแฟ้นเป็นเวลานาน และจะทำให้คนส่วนใหญ่มีเหตุผลแข็งแคร่งในการปกป้องรัฐบาล แต่มันจะไม่เกิดขึ้นถ้าคนเสื้อแดงไม่เคลื่อนไหวเรียกร้องและ “ให้กำลังใจ” หรือ “กดดัน” ให้รัฐบาลทำจริง
ถ้ารัฐบาลเลือกที่จะหันหลังให้กับเสื้อแดงและเลือกที่จะเอาใจอำมาตย์แทน ที่จะเสนอนโยบายที่ครองใจพลเมืองจำนวนมาก พอน้ำลงแล้วอำมาตย์จะรุกสู้โจมตีรัฐบาลอย่างหนัก เพื่อสร้างรัฐบาลแห่งชาติภายใต้อำมาตย์ หรืออำมาตย์อาจทำให้รัฐบาลเพื่อไทยอ่อนแอจนต้องทำตามคำสั่งของอำมาตย์ทุก ประการ นี่คือปัญหาที่เผชิญหน้าเราอยู่ และการบอกให้เสื้อแดง “ใจเย็น” เป็นแนวทางสู่ความหายนะอย่างเดียว
เราควรเข้าใจว่าสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูงระหว่างคนจนและคนรวย ต้องอาศัยการบริหารแบบเผด็จการเพื่อไม่ให้คนจนที่เป็นคนส่วนใหญ่ลุกขึ้นสู้ และถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ใช้นโยบายฟื้นฟูชีวิตพลเมืองส่วนใหญ่อย่างที่ผู้ เขียนเสนอไปแล้ว ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยจะเพิ่มขึ้นอีกอย่างมหาศาลหลังน้ำท่วม ซึ่งจะเปิดทางให้กับเผด็จการอำมาตย์