WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, January 17, 2008

ป้ายโฆษณาเคลื่อนที่ ป.7 ทุ่ม 2.8 พันล้าน [17 ม.ค. 51 - 20:20]

พ.ศ. 2550...แค่เผาหลอก พ.ศ. 2551นักวิเคราะห์ ผู้รู้ต่างเห็นด้วยช่วยฟันธง เป็นปีเผาจริง วิกฤติเศรษฐกิจเกิดแน่...แย่กว่าปีเผาหลอก

ในขณะที่ใครๆ ต่างขวัญผวาไม่กล้าลงทุน... กิติชัย ศรีจำเริญ เจ้าของบริษัท Hello Bangkok นักธุรกิจความรู้แค่ชั้น ป.7 กลับหาญกล้าลงทุน 2,800 ล้านบาท ท้าเศรษฐกิจปีเผาจริงอย่างไม่น่าเชื่อ

และที่ไม่น่าเชื่อยิ่งไปอีก เงินที่กล้าบ้าทุ่มแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ 2.8 พันล้านบาทนั้น ไม่ใช่เงินอวดร่ำอวดรวย จากการไปเป็นหนี้ธนาคารแต่อย่างใด

เรียกว่า เอาเงินเก็บส่วนตัวมาลงทุนกันแบบเทหมดหน้าตักกันเลย

ทั้งที่วิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ปี 2540 ได้ลิ้มชิมรสสิ้นเนื้อประดาตัว ถึงขั้นใช้ปืนจ่อขมับคิดปลิดชีพตัวเองมาแล้ว

คราวนี้ยังไม่เข็ด...ไม่รู้จักพอเพียงหรืออย่างไร ถึงกล้าทำในสิ่งที่นักธุรกิจดีกรีจบด็อกเตอร์ไม่กล้าทำ

กิติชัย ศรีจำเริญ...ชื่อนี้คนไทยส่วนใหญ่ไม่คุ้นหู ไม่รู้จัก แต่ในแวดวงคนทำสื่อโฆษณารู้จักดี เพราะเป็นเจ้าของธุรกิจป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ยักษ์...ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย

ใหญ่แค่ไหนพิสูจน์ได้ด้วยสายตา นั่งรถผ่านไปมาป้ายโฆษณาใหญ่ยักษ์ขนาดตั้งแต่ 30 เมตรขึ้นไป ที่ขึ้นป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์สร้างภาพลักษณ์ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แบบฟรีๆ ตามริมถนนหนทางทั่วประเทศ แบบหลวงไม่ต้องควักเงิน

ด.ช.กิติชัย สอบตกชั้น ม.ศ.1 ความรู้จึงมีแค่ชั้น ป.7 พ่อเป็นจับกังแถวท่าเตียน แม่ขายหมากพลูแถววงเวียนใหญ่ ชีวิตลูกคนจนเลยต้องเริ่มต้นหาเลี้ยงตัวเอง เป็นเด็กล้างแปรงทาสีให้กับช่างเขียนป้ายโฆษณาหน้าโรงหนัง

เงินเดือนเริ่มสตาร์ตที่ 150 บาทต่อเดือน บวกกับเบี้ยเลี้ยงอีกวันละ 10 บาท

จากเด็กล้างแปรงพัฒนาฝีมือมาเรื่อย จนเจ้าของกิจการไว้ใจให้เป็นผู้ช่วยดูแลกิจการแทน แต่ปี 2522-2523 เกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจน้ำมันแพง

กิจการ...ที่กิติชัยทำงานอยู่เลยต้องปิดตัวเอง

เมื่องานไม่มีให้ทำ ก็เลยคิดสร้างงานให้กับตัวเอง เลิกเป็นลูกจ้างหันมาเป็นเจ้าของกิจการเอง... เข็ดแล้วกับงานทำป้ายโฆษณา ให้กับโรงหนังที่ถูกเบี้ยวหนี้ เริ่มบุกเบิกงานทำป้ายโฆษณา หาเสียงให้กับนักการเมือง

แต่หากินกับนักการเมืองรายได้มีเป็นพักๆ ไม่ยั่งยืน มีงานก็เฉพาะตอนเลือกตั้งเท่านั้น เลยต้องบุกเบิกหางานใหม่ที่มีรายได้เป็นประจำดีกว่า ลองเจาะตลาดทำป้ายโฆษณา หมู่บ้านจัดสรร

ยุคนั้นป้ายโฆษณาหมู่บ้านมักจะมีเฉพาะที่ก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรรเท่านั้น ที่อื่นๆ ตามริมถนนหนทางต่างๆ ไม่มีป้ายโฆษณาประกาศเชิญให้ลูกค้าได้รับรู้

เมื่อเริ่มลงมือทำ...ธุรกิจไปได้สวย

จากรับจ้างทำป้าย เขียนป้ายและขึ้นป้าย กิจการขยายงานมาเป็นมองหาสถานที่ ทำเลให้เช่าขึ้นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ และมีสินค้าอย่างอื่นในความสนใจ ที่จะโฆษณาตามมามากมาย

จนทำให้ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ ถูกเอเจนซี่โฆษณาจัดอันดับให้เป็นสื่อโฆษณาประเภทที่ 3 รองจากหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์

จากเด็ก ป.7 ที่เริ่มต้นเงินเดือนแค่ 150 บาท...ในช่วงปี 2530-2531 มีรายได้ไม่มากไม่มายอะไร แค่เดือนละ 5 ล้านบาทเท่านั้น

ช่วงนั้นธุรกิจป้ายโฆษณาฟูฟ่องเหมือนฟองสบู่ แม้จะเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจก็ตาม แต่กิจการยังไม่ถึงระดับใหญ่ที่สุดในประเทศไทย...ยังอยู่ที่อันดับ 3

ฐานะทางการเงินหนาไม่พอ สู้เจ้าใหม่มาทีหลังไม่ได้ สร้างภาพลักษณ์ทางสังคมได้ดี แบงก์เชื่อในเครดิตมากกว่า เจ้าใหม่เลยมีเงินกู้ไป ทุ่มเช่าซื้อที่ขึ้นป้ายโฆษณา ในทำเลดีราคาแพงได้มากกว่า

ธุรกิจมีขึ้นย่อมต้องมีลง เป็นกฎธรรมชาติ และแล้วมรสุมพายุวิกฤติต้มยำกุ้งได้ก่อตัวขึ้น

“ก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้บอกและเตือน ผมล่วงหน้า แล้วว่า ให้ระวัง เศรษฐกิจจะมีปัญหาฟองสบู่จะแตก

ผมจบแค่ ป.7 ฟองสบู่แตกคืออะไร ผมไม่รู้ ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร เลยปล่อยแบบเลยตามเลย ไม่ได้สนใจระวังตัว”

และเมื่อเศรษฐกิจฟองสบู่แตก กิติชัย ถึงได้เข้าใจว่า มันเป็นอย่างไร...มีเช็คเด้งที่เรียกเก็บเงิน ไม่ได้ มาให้นั่งฉีกเล่นหลายสิบล้านบาท และมีหนี้ที่กู้มากกว่า 40 ล้าน ที่ธนาคารตามล่า ตามทวง...เพราะไม่มีปัญญาจ่าย

“ตอนนั้นหน้ามืดคิดอะไรไม่ออก อับจนถึงขั้นหยิบปืนขึ้นมาจะฆ่าตัวตาย แต่คิดถึงลูก ถ้าเราตายไปลูกจะเป็นอย่างไร ใครจะดูแลเลี้ยงลูก แล้วไหนจะลูกน้อง เราตายไปลูกน้อง จะลำบากแค่ไหน

และเมื่อกลับมานึกว่า เมื่อก่อนตัวเราก็ไม่มีอะไรเลย มาจากศูนย์ ยังสร้างตัวมาได้ขนาดนี้ ตอนนี้กลับไปเป็นศูนย์อีกครั้งทำไมจะสร้างตัวใหม่ไม่ได้ เลยเลิกคิดฆ่าตัวตาย คิดสร้างตัวสู้ชีวิตอีกครั้ง”

จากวันนั้นมา ทรัพย์สินอะไรที่มีพอจะขายใช้หนี้ได้ก็ขายไป ป้ายโฆษณาในพื้นที่ไหน ที่อยู่ในทำเลไม่ดี ก็รื้อมาสร้างในทำเลใหม่ที่ดีกว่า ตระเวนหาทำเลขึ้นป้ายโฆษณา ไปทั่วประเทศ

เพราะในวิกฤติย่อมมีโอกาส ไปคว้าไปจองทำเลตอนเศรษฐกิจไม่ดี ราคาค่าเช่าถูก เศรษฐกิจมีลงก็ย่อมมีขึ้น...เศรษฐกิจดีเมื่อไร กิติชัย คิดว่านั่นคือ โอกาสทองของเขา

จริงอย่างที่เขาคิด...ปี 2544 เศรษฐกิจเริ่มโงหัว ผลจากตรงนั้น วันนี้เขาได้กลายเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ของประเทศ

แต่วันนี้วงจรเศรษฐกิจขาลง...ได้หวนมาอีกครั้ง

“ผมเชื่อว่า ปี 2551 เป็นปีเผาจริงเหมือนที่เขาว่ากัน เพราะตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 เริ่มมีปัญหาเช็คเด้งแบบเดียวกับก่อนเกิดวิกฤติเมื่อปี 2540”

ถึงจะเชื่อว่าเศรษฐกิจจะแย่ แต่เด็กจบ ป.7 กลับกล้าเสี่ยงลงทุนแบบไม่แยแสปีเผาจริง... ทุ่มทำสื่อโฆษณาสายพันธุ์ใหม่ของโลก Mobile AD. หรือป้ายโฆษณาขนาดใหญ่เคลื่อนที่ ติดตั้งบนรถบรรทุก 4 ล้อ และ 6 ล้อ 700 กว่าคัน

แม้ใครจะมองเป็นการลงทุนที่ไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจขาลง

แต่กิติชัยเห็นตรงข้าม...เหมาะและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ

“ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่แบบเก่า ต้นทุนผลิตสูง มีทั้งค่าผลิตแผ่นป้ายโฆษณาประมาณ 5 แสนบาท ค่าเช่าป้ายอีก 5 แสนบาทต่อเดือน ในภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ ไม่มีลูกค้าที่ไหน กล้าโฆษณา

แต่ Mobile AD. ค่าผลิตแผ่นป้ายไม่มี เพราะเป็นจอโทรทัศน์แบบ LED ลูกค้าสามารถ ทำไฟล์ดิจิตอลเล็กๆ เสียบสายฉายขึ้นจอได้เลย และยังสามารถถ่ายทอดภาพโฆษณา ผ่านดาวเทียมไปได้ทั่วโลกเหมือนทีวีทุกประการ เสียค่าผลิตสื่อน้อยลง ค่าเช่าป้ายก็ถูกลง เหลือแค่หลักหมื่นเท่านั้น”

เศรษฐกิจแย่ ช่วยให้ลูกค้าใช้จ่ายน้อยลง...ลูกค้าไม่เพียงอยู่ได้ เจ้าของป้ายโฆษณาก็อยู่ได้

เป็นแนวคิดง่ายๆ ของคนจบ ป.7 ที่คิดให้อยู่กันได้แบบพอเพียงพึ่งพา ซึ่งกันและกัน...เธออยู่ได้ ฉันก็อยู่ได้...

จะอยู่ได้หรือไม่ได้ ปี 51 ที่ว่ากันว่าเป็นผีเผาจริง จะพิสูจน์ให้รู้.

สกู๊ปหน้า ๑