แต่กระนั้นก็ยังมีพฤติกรรมปกติ ที่พรรคประชาธิปัตย์ปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องแฝงให้เห็นอยู่ทุกครั้งเช่นเดียวกัน
นั่นก็คือ ค้านมันลูกเดียว...ทุกเรื่อง...ทุกประเด็น...เหน็บแนม...กล่าวหา...ตะแบง
สร้างความสับสน แม้กระทั่งเคยนำเรื่องส่วนตัวมาป้ายสีโจมตีพรรคการเมือง หรือแม้กระทั่งบุคคลที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามในสภา ที่ปราศจากความจริงใดๆ ทั้งสิ้น มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน อย่างหน้าตาเฉย
ซึ่งหากไม่ไล่เลียงบางเรื่องให้สังคมได้รับรู้แล้ว ผลเสียทั้งมวลจะตกอยู่กับประชาชนและสังคมไทยเป็นผู้รับกรรม ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการเข้าไปเป็นรัฐบาล
เรื่องแรกที่ นายอภิสิทธิ์ หรือที่ได้ฉายา ว่า นายมาร์ค ม.7 บิดคำพูด จีบปากจีบคอ ตีรวน ก็เรื่อง ข้อเสนอของนายกรัฐมนตรีที่ประสงค์จะจัดให้ประชาชนลงประชามติ เห็นด้วยต่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 หรือไม่
โดยนัยของนายกรัฐมนตรีก็เพื่อเพื่อลดความขัดแย้ง ลดปัญหาการโจมตีใส่กันของฝั่งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จนเป็นการสร้างความสับสนให้กับสังคมอย่างไม่รู้จบ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นผู้จุดประเด็นขึ้นมาเองทั้งสิ้น
แต่พอนายกรัฐมตรี ถอยมาหนึ่งก้าว พรรคประชาธิปัตย์ กลับลากโยงไปอีกเรื่อง กลับเป็นว่า การจัดลงประชามติ ให้ประชาชนทั้งประเทศตัดสินจะแก้หรือไม่แก้ ไม่สมควรขึ้นมาอีก แล้วหันไปสู่ประเด็นหาเรื่องหาราวขึ้นมาใหม่คือ ให้ถอนญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ยื่นไปแล้วก่อนหน้านี้
แต่ก็ดูจะบังเอิญเสียเหลือเกินที่ประเด็นให้ถอดถอนญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดันทะลึ่งไปตรงกับการออกมากล่าวอ้างในถ้อยแถลงของกลุ่มพันธมิตรฯยังกับถอดมาจากแม่แบบพิมพ์เดียวกัน...
นายอภิสิทธิ์ คงลืมไปว่า รัฐธรรมนูญโจร 2550 บัญญัติให้ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. มีเอกสิทธิ์ ไม่ต้องฟังมติของพรรคต้นสังกัดก็ได้...
ดังนั้น การยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ดังกล่าว โดย ส.ส. ส่วนหนึ่ง และ ส.ว. หรือสมาชิกวุฒิสภาอีกส่วนหนึ่ง รวมกว่า 100 คน ที่ผ่านมานั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับพรรคต้นสังกัดแต่อย่างใด หรือไม่ใช่เป็นไปในนามของพรรคใดพรรคหนึ่ง หรือเป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาล
ซึ่งก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี ก็ระบุชัดว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขอให้เป็นเรื่องของสภาดำเนินการ นั่นก็หมายถึง เป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. ที่จะเข้าชื่อกันเอง โดยรัฐบาลจะไม่เข้าไปเป็นตัวตั้งตัวตี
หรือแม้แต่นายกรัฐมนตรี จะเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน เป็นหัวหน้ารัฐบาล ก็ไม่มีสิทธิ์ยับยั้ง จะได้เพียงก็แค่ขอร้องเท่านั้น
ยิ่งประธานสภาฯ ที่ต้องวางตัวเป็นกลางตามประสงค์ของพรรคประชาธิปัตย์ และทำหน้าที่เป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติด้วยแล้ว ก็ไม่มีสิทธิ์ถอนร่างฯ ออกมาแต่อย่างใด
โดยจะต้องดำเนินการให้เป็นตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัด นั่นก็คือ เตรียมบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมต่อไป
แต่ที่นายอภิสิทธิ์ ฮึกเหิม จนกล้าป้ายสีด้วยจิตใจอุบาทว์ มากขึ้น ก็คือ หยิบฉวยการกล่าวหา ปาฐกถาของ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หมิ่นเหม่ต่อสถาบัน ที่กำลังรอการพิสูจน์จากหลายฝ่ายอย่างเข้มข้นมาฉุดลากกระหน่ำซ้ำเติมเข้าไปอีก ด้วยข้อหาใหม่ เป็น “กบฏ”
นายอภิสิทธิ์ โมเมว่า คดีของนายจักรภพอาจเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและมีความซับซ้อนพอสมควร เพราะอาจจะไม่ใช่ข้อหาเดียว แต่อาจมีข้อหาเป็นกบฏด้วยหรือไม่
พร้อมลื่นไถลไปอีกว่า สิ่งที่ตนอยากยืนยันผ่านไปถึงนายกรัฐมนตรี คือ ในระยะหลัง เมื่อคนที่อยู่ในตำแหน่งและมีอำนาจ ถูกกล่าวหา คดีจะมีความคืบหน้าช้ามาก แต่ถ้าไม่ใช่เป็นรัฐมนตรี ตอนนี้คดีอาจจะสรุปแล้วก็ได้
อ่านแล้วก็ได้แต่ร้อง โอ้โห...อะไรจะบ้าบอคอแตก คิดการกล่าวหาผู้คนได้อุบาทว์ถึงเพียงนี้...???
เพียงเพราะนายจักรภพออกมายืนแถวหน้า ต่อต้านเผด็จการทหารที่ใช้กำลังอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เป็นภาษีของประชาชน เข้าทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย นี่นะหรือคือ กบฏ
คงเป็นแบบที่สังคมเขาตราหน้านายอภิสิทธิ์ว่า เด็กชาย มาร์ค ม.7 ที่เสนอขอพระราชทานนายกรัฐมนตรี ที่ในหลวงทรงตรัสแล้วว่า ไม่ใช่ประชาธิปไตย
มาถึงวันนี้ เด็กชาย มาร์ค ม.7 เลยยังไม่รู้ว่า การใช้กำลังเข้าล้มล้างการปกครองประเทศ นั่นละคือ กบฏ ตัวจริง...
พร ภัทร(แทน)