เรื่องคำบรรยายของ นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเป็นประเด็นที่ฝ่ายจ้องทำลายรัฐบาลหยิบมาเป็นประเด็นหาเรื่องไม่เลิกรา
ล่าสุดในงานกองทุนพัฒนาวิทยุชุมชนคนแท็กซี่เพื่อการต่อสู้กับมารประชาธิปไตย ซึ่งจัดขึ้นที่ อาคารกีฬาเวสน์ 2 สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ในช่วงหนึ่งได้มีการบรรยายของ รศ.ดร.วรพล พรหมิกบุตร อาจารย์คณะสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ร่วมเวทีกับนายจักรภพ ที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ได้นำสำเนาวีซีดี ที่บันทึกการบรรยายเมื่อช่วงเดือน สิงหาคม ปีที่แล้วนำมาประกอบการบรรยาย โดยมีการอธิบายแปลความหมายคำปาฐกาความยาว 36 นาที ของนายจักรภพ อย่างละเอียด
รศ.ดร.วรพล กล่าวว่า จากการที่ตนในฐานะนักวิชาการได้มีโอกาสเข้าบรรยายร่วมกับนายจักรภพ เพ็ญแข ฐานะแกนนำนปก.ในขณะนั้น ในหัวข้อ “ประชาธิปไตย และระบบอุปถัมภ์ในประเทศไทย” โดยตลอดระยะเวลาที่นั่งบรรยาย 105 นาที ตนไม่เห็นว่าจะมีถ้อยคำใดที่นายจักรภพจะกล่าวจาบจ้วงต่อสถาบันเบื้องสูง นอกจากคำวิจารณ์นักการเมือง กลุ่มคน และประชาชน ที่มักอ้างสถาบันเบื้องสุงในการเคลื่อนไวทางการเมือง ในทางกลับกันนายจักรภพได้กล่าวถ้อยคำที่ยกย่องต่อระบอบการปกครองของไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัยถึงปัจจุบันเสียด้วยซ้ำ
ผศ.ดร.วรพล เล่าเหตุการณ์และแปลความหมายคำปาฐกถาของนายจักรภพอย่างละเอียดว่า
ในช่วง 1-4 นาทีแรกของการบรรยาย พิธีกรรายการได้กล่าวเกริ่นถึงหัวข้อและเชิญนายจักรภพพูดก่อนเป็นคนแรกในช่วง นาทีที่ 4เป็นต้นไป ใช้เวลารวมทั้งหมด 36 นาที ซึ่งเนื้อหาเป็นการกล่าวถึงกรณีบ้านสีเสาเทเวศร์ จนเป็นเหตุให้ต้องถูกคุมขังว่า นปก.ถูกขังในคุกที่ไม่ใช่คุกทั่วไปแต่เป็นคุกของคุณเปรม และเหตุการณที่ผ่านมาน่าสะท้อนถึงสภาพการปะทะกัรระหว่างประชิปไตยกับระบบอุปถัมภ์ในประเทศไทย
จากนั้นนายจักรภพกล่าวถึงระบบอุปถัมภ์ทางประวัติศาสตร์ของไทย ตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ โดยได้กล่าวยกย่องระบบอุปถัมภ์ในสมัยพ่อขุมรามคำแหงมหาราชว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดคือเป็นพ่อที่ยิ่งใหญ่ ใช้การปกครองแบบพ่อปกครองลูก จากนั้นก็มีการผสมผสานการปกครองขึ้นแบบสุโขทัยและแบบผู้นำ โดยในสมัยอยุธยามีการยกพระมหากษัตริย์เป็นสมมุติเทพ จากนั้นสมัยรัตนโกสินทร์ ก็มีการรับอิทธิพลจากอยุธยา พร้อมกับมีการยกตัวอย่างการปกครองรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีการผสมผสานระหว่างการปกครองสมัยใหม่ และสมัยอดีตรวมกัน จนเป็นประมหากษัตริย์ที่ว่าได้รับยกย่องจากต่างชาติว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักวิทยาศาสตร์
จนต่อเนื่องมาสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่ 9 เป็นการรวบรวมการปกครองทั้งหมดตั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากมีการปกครองที่ยาวนานจนได้รับการยกย่องในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ตามจารีตประเพณีของไทย นักพัฒนา และเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงงานหนัก ตนเห็นว่าจากการกล่าวมาทั้งหมดนี้ของนายจักรภพเป็นไปในลักษณะการชื่นชมยกย่อง หากใครนำมาตีความในทางหมิ่นเบื้องสูงแล้ว คงเป็นคนมีจิตใจที่สกปรกแน่นอน
นอกจากนี้รศ.ดร.วรพล กล่าวเสริมตรงคำวิจารณ์ของนายจักรภพต่อประชาชนว่า พวกเราถุกโน้มน้าวชักจูงให้เชื่อว่าคนไทย ไม่ต้องการปราธิปไตย เพราะมีรัชสมัยที่ทรงพระเมตตายิ่ง นอกจากนี้ พวกเรายังอ้างและทำให้พระองค์ท่านเชื่อว่าปะชาธิปไตยที่มีรัฐบาลชี้นำ หรือ พระองค์ท่านต้องชี้นำ นั้นตนเชื่อว่านายจักรภพคงจะวิจารณ์เหตุการณ์ยื่นขอนายกรัฐมนตรีพระราชทานมาตรา 7 ที่มีนักการเมืองและนักวิชาการรวมกลุ่มกันเรียกร้อง แต่ในหลวงทรงปฏิเสธและย้ำว่าท่านเป็นประชาธิปไตย
รวมถึงการโฆษณาเมื่อครั้งรณรงค์ให้รับร่างรัฐะรรมนูญ 2550 โดยมีการกำกับว่า Yellow Shirt People ซึ่งมักมีการแอบอ้างเอาการสถาบันกษัตริย์มาใช้ในการเมือง ซึ่งน่าจะเป็นการวิจาณ์นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯที่ถูกดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้ จากนันนายจักรภพกล่าวโดยสรุปว่า การสร้างปัญหาแบบนี้มันล้าสมัย ขณะนี้ประชาชนทราบแล้วว่าต้องการประชาธิปไตย
อาจารย์คณะสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยา กล่าวทิ้งท้ายว่า หากจะมีการพาดพิงจริงคงจะเป็นดารที่นายจักรภพแสดงความคิดเห็นต่อแนวคิดการตั้งรัฐบาลผลัดถิ่น ที่มีการกล่าวถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ กรณีที่ 1 ในคณะตุลาการเป้ฯคนสนิทที่มีความสัมพันธ์กับอำนาจที่หนุนให้เกิดการรัฐประหารในเชิง โฮโมเซ็กส์ชวล และการตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่าจะมีการเช็คบิลบุคคลที่ก่อให้เกิดการรัฐประหาร แต่ทั้งนี้นายจักรภพไม่ได้กล่าวถึงพล.อ.เปรมในฐานะที่เป็นประธานองคืมนตรีและรัฐบุรุษ แต่กล่าวเพียงคุณเปรมเท่านั้น
เพื่อไทย
Monday, May 26, 2008
นักวิชาการการันตี ขึ้นเวทีกับ‘จักรภพ’ ไม่มีคำพูดจาบจ้วง
นักวิชาการระบุตลอด 105 นาที ที่ฟัง “จักรภพ” บรรยายอยู่บนเวทีเดียวกัน ไม่เห็นมีข้อความไหนที่เข้าข่ายจาบจ้วงเบื้องสูง แถมการกล่าวถึง พล.อ.เปรม ก็เป็นการพูดต่อเนื่องจากเหตุการชุมนุมหน้าบ้านพักสี่เสา ไม่ได้พูดถึงในฐานะองคมนตรี และยังระบุถึงความไม่เหมาะสมที่มีคนพยายามอ้างสถาบันเพื่อชักชวนให้รับร่างรัฐะรรมนูญ 2550 ด้วยซ้ำไป