* แฉ!เอกสารลับมัด ’สุขุมพันธ์’ ทำเสียดินแดน?
“สมัคร” ซัด “ประชาธิปัตย์” ออกมาปลุกกระแสเขาพระวิหารจนบ้านเมืองลุกเป็นไฟ แต่พอบ้านเมืองเกิดปัญหากลับ “หดหัว” กันหมด พบเอกสารลับ ชี้ชัด “สุขุมพันธ์” ลงนามในบันทึกความเข้าใจกับกัมพูชา เมื่อปี 2543 สมัยรัฐบาล “ชวน หลีกภัย” ยอมรับสนธิสัญญาฝรั่งเศส รศ.112 นักวิชาการชี้สนธิสัญญาฉบับนี้เป็นปมสำคัญให้ประเทศไทยเสียดินแดน ขณะที่ “นพดล” ออกมาสางปัญหา รักษาผลประโยชน์ 4.6 ตร.กม. กลับโดนเล่นงานซะอ่วม ดาหน้าจี้ “ประชาธิปัตย์-สุขุมพันธ์” ออกมาชี้แจงให้ชัดว่าใครหรือพรรคการเมืองไหนกันแน่ ที่ทำให้ไทยต้องเสียดินแดน
ปัญหาปราสาทเขาพระวิหารได้ถูกปลุกกระแสและหยิบยกมาเป็นประเด็นโจมตีรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง จนทำท่าจะบานปลายกลายเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในประเด็นพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่มีความพยายามกล่าวหาว่าประเทศไทยจะต้องเสียดินแดน และพุ่งเป้าไปที่นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ จนต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง โดยให้เหตุผลงว่าเกรงจะถูกลากเป็นประเด็นทำลายรัฐบาล นั้น
*พบเอกสารชัด! มัด “สุขุมพันธ์”
ล่าสุดพบว่าเมื่อปี 2543 ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร อดีต รมช.ต่างประเทศ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้เคยลงนามใน “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบก” ในสมัยที่ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เป็นนายกรัฐมนตรี
โดยที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ได้ไปลงนามในฐานะตัวแทนฝ่ายไทย เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 ในการปักปันเขตแดนโดยอ้างถึงแผนที่ฉบับลงนาม ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1904 ในการจัดทำเขตแดน ซึ่งเป็นฉบับที่เคยทำให้คนไทยต้องเสียน้ำตามาแล้ว เพราะต้องเสียปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาเมื่อปี 2505 แต่กลับไม่ได้ระบุถึงแผนที่ แอล 7017 ของอเมริกา ที่ประเทศไทยใช้อ้างอิงมาโดยตลอด
*“นพดล”ต่างหากรักษาประโยชน์
ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ เป็นผู้เจรจาในกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก และทางกัมพูชายอมรับเงื่อนไขดังกล่าวทั้งหมด คือการให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออกและขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท และแถลงการณ์ร่วมดังกลฃ่าวส่งผลให้ประเทศไทยกลับมาได้เปรียบในหลายเรื่อง ทำให้กัมพูชายอมรับว่าพื้นที่ของเขาจริงๆนั้น มีเพียงบริเวณที่ตั้งตัวปราสาทเท่านั้น ตามเนื้อหาในข้อ 2 ของแถลงการณ์ที่ระบุว่า ด้วยเจตนารมณ์แห่งมิตรภาพและความร่วมมือกัน ราชอาณาจักรกัมพูชายิ้มรับว่า ปราสาทเขาพระวิหารที่จะเสนอขอขึ้นทะเบียนไว้ในบัญชีมรดกโลก ในขั้นนี้จะไม่รวมถึงพื้นที่กันชนทางด้านเหนือและตะวันตกของปราสาท (2. In the spirit of goodwill and conciliation, the Kingdom of Cambodia accepts that the Temple of Preah Vihear be nominated for inscription on the World Heritage List without at this stage a buffer zone on the northern and western areas of the Temple.)
*ใครกันแน่ต้องออกมารับผิดชอบ
จากประเด็นดังกล่าวได้มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงตัวบุคคลที่แท้จริงที่จะต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว และมีการตั้งเป็นประเด็นคำถามว่า ใคร หรือพรรคการเมืองไหนกันแน่ ที่ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียเขาพระวิหาร หลังจากที่มีความพยายามบิดเบือน ป้ายสีรัฐบาลทั้งในสภาและข้างถนนมาอย่างต่อเนื่อง
ในวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ทางสถานีโทรทัศน์กรมประชาสัมพันธ์ NBT ถึงประเด็นปัญหาดังกล่าวว่าสิ่งที่นายนพดล ปัทมะ ไปตกลงกันไว้ที่ปารีสว่า จะเอาไปขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวพระวิหาร นั่นละไปเซ็นกับเขามา เอกสารชิ้นนี้เพิ่งจะมีคนเห็นว่าเป็นเอกสารดี มีความสำคัญ ยืนยัน เขมรก็มาตกลงแล้วว่าจะเอาเฉพาะที่นั่นไปขึ้น แต่ด่าทอว่ากล่าวกันเสียจนกระทั่งเกิดเหตุ
*ถึงเวลาตึงเครียดหดหัวกันหมด
เสร็จแล้วปรากฏว่าเมื่อปี 2543 รัฐมนตรีช่วยว่าการซึ่งเป็นคนสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ไปลงนามโดยใช้เอกสารที่เคยมีปัญหามาแล้วเมื่อ 45 ปีที่แล้ว จะมีการปรับปรุงเขตด้านชายแดน ใช้เอกสารที่มีปัญหาแล้ว อย่างนั้นไม่เป็นไรนะครับ อย่างนพดลฯ ไปจัดการไปเซ็น ไปตกลงว่าเอาเฉพาะพระวิหารไปขึ้น ล่อกันเสียจนกระทั่งเกิดเหตุ จนกระทั่งจะต้องกรีฑาทัพมารบกันเข้า แต่นี่เงียบกันไปหมดเลย พอตึงเครียดก็อย่างนี้เข้า เงียบกันไปหมดเลย
"ถามว่าแล้วมีความเห็นอย่างไรอย่างนี้ ไทยรัฐก็เขียน เดลินิวส์ก็เขียนไม่มีใครรับลูกเลย หดหัวกันหมด ไม่ละ ต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ ผมก็ขอประทานโทษนะครับ ขอประทานโทษจริงๆ ที่จะต้องใช้คำพังเพยเฉพาะตัว คือแต่ก่อนนี้เขาบอกว่าทำดีเป็นศรีแก่ตัว ทำชั่วต้องอัปราชัย ต้องว่ากันไปอย่างนั้น แต่ว่าคติพจน์ของผมเวลานี้ อย่างนพดลฯ ทำนี่ เขาเรียกว่า ทำดีอัปรีย์กินหัว ถ้าคนทำชั่วอย่างไปเซ็นไว้อย่างนั้นละก็ มีคนช่วยปกป้องให้ คือไม่มีใครพูดถึงเลย เอาเท่านั้นละกัน เดี๋ยวนี้เมืองไทยเป็นอย่างนี้ครับ"
สนธิสัญญาฝรั่งเศสทำเสียดินแดน
รศ.ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช หัวหน้าภาควิชากฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าพื้นที่ที่เราเรียกว่าพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร มันเกิดจากกรณีที่เราถือตามสนธิสัญญาปี 1904 และปี 1907 ที่สยามทำกับฝรั่งเศส ในนั้นบอกว่าให้เป็นไปตามสันปันน้ำ มาตราต่อมาก็บอกว่าให้คณะกรรมาธิการผสมทั้ง 2 ฝ่าย ทำการปักปันไปตามสันปันน้ำ ก็มีการทำแผนที่ เป็นการร้องขอฝ่ายเดียวของฝ่ายไทย ใช้เวลาสัก 3-4 ปี ฝรั่งเศสทำเสร็จส่งมา 11 ฉบับ ประเทศไทยในตอนนั้นก็ไม่ได้ทักท้วง
อย่างไรก็ตามตนเองไม่โทษฝ่ายไทย เพราะมันเป็นการยากที่จะคาดหวังว่า 100 ปีที่แล้วต้องมีความรู้มาตรวจสอบ แผนที่ตรงนี้มันมีส่วนที่กินพื้นที่ของเราไป มันเลยเกิดปัญหาว่า 4.6 ตร.กม.จะทำอย่างไร ตอนนี้หลายคนพูดว่าพื้นที่ทับซ้อนรวมทั้งตรงบันได เป็น no man's land ตนเห็นว่าไม่ควรใช้คำว่าพื้นที่ทับซ้อน
“ผมเห็นว่าโดยหลักแล้วการปักปันต้องเป็นไปตามหลักสันปันน้ำตามสนธิสัญญาเสมอ และเข้าใจว่าคณะกรรมการผสมไทยกับกัมพูชาก็ยืนยันว่าให้เป็นไปตามหลักสันปันน้ำ จึงน่าจะเรียกว่าเป็นพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ เพราะโดยสภาพแล้วอำนาจอธิปไตยทับซ้อนกันไม่ได้ ไม่เป็นของไทยก็ต้องเป็นของเขมร”
*จี้ปชป.-สุขมุพันธ์ชี้แจงประชาชน
ด้าน นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำสมาพันธ์ประชาธิปไตย กล่าวหลังจากเห็นเอกสารการลงนามของม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ในหนังสือบันทึกความเข้าใจของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย เรื่องการจัดเขตแดน ว่าจากหลักฐานที่ปรากฏ ขอให้พรรคประชาธิปัตย์ออกมาชี้แจงรายละเอียดโดยเร็วที่สุด ขอเรียกร้องให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร นายชวน หลีกภัย ที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำเอกสารฉบับจริงมาเปิดเผยให้ประชาชนดู เพราะถ้าไม่นำมาเปิดเผย ประชาชนจะทราบและตัดสินได้หาความถูกต้องได้อย่างไร ว่าการที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ลงนามไว้ในบันทึกฉบับดังกล่าว เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน ทำให้เพรี่ยงพร่ำประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ นพ.เหวง ยังได้เรียกร้องโดยระบุเป็นข้อว่า 1.ให้บุคคลที่กล่าวชื่อไปข้างต้นเผชิญหน้าต่อสังคมเพื่อชี้แจงข้อมูลที่แท้จริง 2. ให้บุคคลที่กล่าวชื่อไปข้างต้นนำเอกสารฉบับจริงออกมาชี้แจงต่อประชาชน 3. ขอให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ออกมาตอบคำถามกรณีที่ประเทศไทยต้องเสียเปรียบประเทศกัมพูชาเพราะเหตุใด 4. ขอให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ออกมายอมรับต่อประชาชนชาวไทยว่าที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ลงนามในบันทึกฉบับนั้นทำให้ประเทศไทยเสียดินแดนหรือไม่ และ 5. ขอให้นำเอกสารของนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการต่างประเทศ ที่ไปลงนามร่วมกับประเทศกัมพูชา ทำให้เกิดกรณีวิพากษ์นั้น มาเปรียบเทียบกับของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ เอง เพื่อให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศพิจารณาว่าเอกสารบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลสองประเทศนั้น เอกสารฉบับของใครที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนโดยแท้จริง
*เสียดินแดนรัฐบาลนี้ไม่เกี่ยว
ด้าน ดร.อดิศร เพียงเกษ กรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า การที่นายนพดลเดินทางไปลงนามสัญญาร่วมกับประเทศกัมพูชานั้น เป็นการช่วยเหลือประเทศไทยอย่างที่สุด เพราะมีการเจรจากรณีเขาพระวิหาร โดยทางประเทศกัมพูชาแจ้งว่าในส่วนของตัวปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้นที่จะเป็นของประเทศกัมพูชา แต่ในส่วนพื้นที่โดยรอบไม่ใช่ของประเทศกัมพูชา หากแต่เป็นของประเทศไทย
เป็นเพราะคนบางกลุ่มไม่เข้าใจว่าการเสียดินแดนไม่ใช่เสียจากรัฐบาลนี้ จึงต่อต้านเรียกร้องจะเอาพระวิหารคืนให้ได้ ประเทศกัมพูชาจึงไม่พอใจนัก ทำให้เกิดการต่อสู้เรื่องดินแดนกันอีก ทั้งๆ ที่ควรจะไปถามพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเหตุเกิดที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ หรือ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ที่เป็นคนไปลงนามทำบันทึกความเข้าใจให้เราต้องเสียดินแดน
*หรือจะให้จุดธูปถามม.ร.ว.เสนีย์
“หรือต้องจุดธูปถาม ม.ร.ว.เสนีย์ ว่าเริ่มต้นเสียดินแดนยังไง ดึง ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ออกมาพูดให้ได้ ต้องด่าให้ถูกคน จะบอกประชาชนต้องบอกอย่างนี้ แล้วนายสนธิออกมาเรียกร้องจะเอาเขาพระวิหารคืน มาก่อความวุ่นวาย นายสนธิต้องถูกประหารชีวิต ต้องถูกแขวนคอ เป็นความระยำตำบอนของพันธมิตรฯ ปลุกปั่นคนให้คลั่งชาติ ทำให้มนุษย์กลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน สนธิ ลิ้มก็เป็นผู้นำสัตว์เดรัจฉาน ประชาธิปัตย์ก็เป็นประชาธิปด ต้องตีความจริงให้ประชาชนได้รู้ว่าใครเป็นจำเลยในเรื่องนี้กันแน่”
นอกจากนี้ ดร.อดิศร ได้กล่าวเพิ่มเติมเชิงประวัติศาสตร์ว่าเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยล่าอาณานิคม เมื่อครั้งเจ้าแห่งฝรั่งเศสเป็นผู้ที่มีกำลังทางการรบ โดยนำเรือปืนไฟมาปิดแม่น้ำเจ้าพระยา ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงตัดสินใจแบ่งดินแดนระหว่างต่อกับประเทศกัมพูชา โดยให้ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้เขียนแผนที่ขึ้นมาใหม่
*แก้ปัญหาให้แต่กลับโดนกล่าวหา
ทางด้าน รศ.ดร.ศิลป์ ราศี นักวิชาการมหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวถึงกรณีที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในขณะนั้น ทำการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจจัดทำหลักเขตแดนทางบก กรณีปราสาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2543 ว่า แม้บันทึกความเข้าใจดังกล่าวที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ลงนาม เมื่อปี 2543 เกี่ยวกับกรณีปราสาทเขาพระวิหาร โดยไม่มีการทักท้วงข้อตกลงในบันทึกดังกล่าวที่ยึดเอาแผนที่ของฝรั่งเศส เป็นตัวตั้ง นั่นก็หมายถึงรวมกับพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่มีข้อพิพาทว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนไปด้วย แต่การจะเอาผิดย้อนหลังคงเป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะเรื่องเกิดขึ้นมายาวนาน โดยที่รัฐบาลไทยไม่ได้มีการเรียกร้องแต่อย่างใด
แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือปัญหาในขณะนี้ หลังจากที่ประเทศกัมพูชาจะทำการขึ้นทะเบียนประสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยรวมพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรไปด้วย เป็นเหตุให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ไม่เห็นด้วยกับกรณีดังกล่าว และมอบหมายให้นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ทำการเจรจากับประเทศกัมพูชา ว่าไทยไม่ยอมรับเอกสารดังกล่าว จนท้ายสุดรัฐบาลกัมพูชาต้องยอมรับ และมีการตกลงว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีการตกลงกรณีพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง พร้อมการมีการลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย –กัมพูชา
*ซัดปชป.บิดเบือนข้อเท็จจริง
อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์ พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง พร้อมกับเป็นต้นเหตุแห่งการจุดชนวนความรุนแรงระหว่างประเทศในครั้งนี้ และทำให้ไทยไม่มีสัญญาที่จะชี้ได้ว่าพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทย เพราะศาลปกครองพิจารณาว่าแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวเป็นสนธิสัญญาและขัดต่อมาตรา 190 ถือเป็นอันโมฆะและสุดท้ายไทยอาจต้องเสียดินแดนอธิปไตยให้กับกัมพูชาโดยปริยาย
“ปัญหาที่เกิดในตอนนื้ ต้องโทษพรรคประชาธิปัตย์ และลงลึกไปตุลาการ ที่เข้ามาแทรกแซง ทั้งๆ ที่ไม่มีหน้าที่โดยตรงพรรคฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้จุดชนวนให้เกิดกระแสความรุนแรง ทำเรื่องที่ไม่เป็นปัญหา ให้เป็นปัญหา ทั้งๆ ที่
แถลงการณ์ร่วมที่นายนพดลเซ็นนั้นเป็นการปกป้องดินแดนของไทย ไม่ให้เสียไปแม้แต่ตารางเมตรเดียว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ หรือแม้แต่สมัยของคุณสุขุมพันธ์เองก็ยังลงนามยอมรับและสนับสนุนแผนที่ของฝรั่งเศสอย่างเต็มที่ นี่จะหมายความว่าอย่างไรได้ ต้องให้ประชาชนตัดสิน” ดร.ศิลป์ กล่าว